เลือกเป็นมนุษย์

     “ พุทธองค์เปรียบว่า ”...โลกมนุษย์นี้เปรียบเหมือนใต้ร่มไม้ใหญ่ อันเป็นที่พักในทางกันดาร  นับว่าสบายมากแล้ว  ไม่ทุกข์ทรมานมาก...”  ศีล ๕  พุทธองค์ให้ไว้เป็นศีลแห่งมนุษย์ภูมิ มนุษย์ภูมินั้นเป็เปรียบเสมือนยืนอยู่ใต้ร่มไม้  และมีทางเลือก  ๓๑  ทาง  แต่มนุษย์มองไม่เห็นทาง หลับหูหลับตาเดินทางโดยไม่รู้  ล้มลุกคลุกคลานในความมืด  สูงบ้างต่ำบ้าง  ตกหลุมบ่อบ้าง  มนุษนั้นย์ประเสริฐที่สุด  เพราะมนุษย์นั้นประพฤติธรรมได้    พุทธองค์ตรัสรู้ด้วยการเป็นมนุษย์ เหล่าสาวกทั้งหลายปฏิบัติธรรมล้วนเป็นมนุษย์ มนุษย์เท่านั้นมีสิทธิเลือก     ภพภูมิต่างๆ ล้วนถือกำเนิดมาจากมนุษย์ทั้งสิ้น มนุษย์เลือกไปแดนใดก็ได้   แค่เพียงปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับสภาวะนั้นๆ ก็จะไปอยู่ที่นั่นเอง      หรือจะเลือกพ้นภูมิพ้นกฏเกณฑ์ต่างๆ มากมายนี้ พ้นการเวียนเกิดเวียนตายที่ไม่รู้จบก็ได้     แล้วมีปัญหาว่าทำไม     เราถึงเป็นแบบนี้เกิดมาต้องทุกข์  พิการ เจ็บป่วย  อกหักเป็นโรคร้าย    ยากจน   สุข  ทุกข์หล่อ  สวย ร่ำรวย    หรือตามสภาวะต่างๆ ของบุคคลที่คิดได้ อะไรเป็นเหตุเพราะศีล    ไม่ครบนั่นเอง  ต้องเข้าใจศีลแต่ละข้อส่งผลอะไร จากเหตุไปหาผล คำตอบอยู่ในนี้ทั้งหมด   ศีล ๕  ไม่สมบูรณ์  มีใครบ้างรักษาศีล    ไม่ผิดเลย   ตลอดชีวิตถ้ามนุษย์คนหนึ่งรักษาศีล ทำดีส่วนเดียว  ก็จะสุขส่วนเดียว หรือทำชั่วส่วนเดียวก็จะทุกข์ส่วนเดียว  แต่นี่ทำทั้ง ๒  อย่างดีบ้างเลวบ้าง ผลของมันจึงมีดีเลวปะปนกัน นี่คือ มนุษย์ การพร่องด้วยศีล    เป็นปัญหาของโลกทั้งหมด ถ้าให้ศีล ๕ เป็นแกนกลางสิ่งที่วัดได้ชัดเจน และอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด คือ รักษาศีล    คือ  มนุษย์ต่ำกว่าศีล ๕ คือ อบายภูมิ      สูงกว่าศีล ๕ คือ เทวดาทั้ง ๖  ชั้น    บำเพ็ญเพียรทางจิต โดยอาศัยรูปในการฝึก คือรูปพรหม ไม่อาศัยรูป คือ  อรูปพรหม  นี่คือโครงสร้างโดยรวม  เชื่อมโยง  ๓๑  ภูมิ  ไว้ด้วยกัน คือ กรรม ศีลแต่ละข้อส่งผลอะไร   พิจารณาดูจะรู้ คำตอบอยู่ในนี้

ผลแห่งการผิดศีล    แต่ละข้อ
    มนุษย์พิการ  เจ็บป่วย  เป็นโรคร้าย  อายุสั้น
ศีลข้อที่     ตนเองเป็นผู้ฆ่าสัตว์  พอใจ  ชักชวน  สรรเสริญการฆ่าสัตว์  บุคคลที่เสพ   เจริญ  ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก  สัตว์เดรัจฉาน  เปรต อย่างเบาที่สุด เกิดเป็นมนุษย์อายุน้อย   การฆ่าสัตว์อย่างเบาที่สุด คือ อายุน้อย แล้วอย่างหนักละ คือ พิการ เป็นโรคภัยต่างๆ    ประสบเคราะห์กรรมต่างๆได้รับความทุกข์ทรมานทางกาย อุบัติเหตุร้ายแรงต่างๆ ทำให้ตายก่อนวัย นี่คือ ผลพวงของการฆ่าสัตว์ รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง พอใจ  ชักชวน  กล่าวสรรเสริญการฆ่าสัตว์   นี่เป็นการตอบคำถามว่าทำไม   มนุษย์จึงไม่เท่าเทียมกัน  บางคนเกิดมาพิการ เป็นโรคร้ายรบกวนตลอด  แต่บางคนทั้งชีวิตไม่เป็นอะไรเลยก็มี ผลพวงเหล่านี้เป็นเพียงเศษเชื่อมโยงมาจากอบายภูมิ     คือ  ปัญหาต่างๆ  มนุษย์ผู้เกิดมาพิการ  เจ็บป่วยหรือเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ  ล้วนเชื่อมโยงมาจากการฆ่าสัตว์ทั้งสิ้น  หนักหรือเบาขึ้นอยู่กับสัตว์แบบไหน   เล็กใหญ่   เช่น การฆ่าปลาที่ออกลูกเป็นไข่ ส่งผลน้อยกว่าสัตว์ที่ออกลูกเป็นตัว  ผลจะมากตามลำดับ  จนถึงการฆ่ามนุษย์เปรียบดังนี้จะเข้าใจง่าย   มนุษย์ก็มีลำดับชั้นเหมือนกัน  เช่น   ฆ่ามนุษย์ทุศีลผลน้อยกว่ามนุษย์มีศีล    ฆ่ามนุษย์มีศีลมีผลน้อยกว่าพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์  หนักสุดคือ ทำให้พระพุทธองค์ห้อพระโลหิต  คือ พระเทวทัตนั่นเอง    อธิบายเพิ่มเติมว่าอาศัยอะไรเป็นเครื่องวัด   “ พุทธองค์ตรัสว่า...อาศัยความตั้งใจหรือเจตนาเป็นเหตุ ” ยกตัวอย่าง เมื่อมนุษย์ท้องมีลูก อยู่ๆ ล้มไปโดยไม่ได้ตั้งใจ      เกิดแท้งขึ้นมาผิดหรือเปล่า ตอบว่าไม่ผิด  หรือลูกในท้องตายเองย่อมไม่ผิด    แต่หากคิดฆ่าโดยแกล้งล้ม หรือ    ทำแท้งนี่คือ ผิดมหัน โทษเทียบเท่าการฆ่ามนุษย์คนหนึ่ง โลกเจริญไปมาก   มีทางแก้ไขเรื่องต่างๆ เหล่านี้มากมายทั้งป้องกันการเกิด การคุมกำเนิดต่างๆ มีหลายวิธี  ในทางการแพทย์ก็มียาป้องกันการเกิดก่อนหรือเกิดหลัง  คือ เมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้ว ยังมียาป้องกันการปฏิสนธิ หรือการเกิดย้อนหลัง    วัน     หากยังไม่พร้อมหรือประสบปัญหาต่างๆ ยังแก้ไขได้ แค่มีสติ พิจารณาดูจะป้องกันปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้   ผู้ร่วมกระทำก็มีส่วนร่วมชดใช้ด้วยคือ เกิดมาเป็นพ่อแม่ลูก ญาติพี่น้อง เป็นการตอบคำถามว่าทำไมถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกัน มีความเชื่อมโยงกันเมื่อทำผิดทางกาย ก็ต้องชดใช้ทางกาย  การฆ่าสัตว์ คือ กรรมทางกายของมนุษย์ทั้งหมด  เป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของการเกิดมาพิการ เจ็บป่วย เป็นโรคร้าย        และเจ้ากรรมนายเวรต่างๆ       หากย้อนดูเรื่องราวของพระพุทธองค์ ตอนบำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์ มีเมตตาต่อสัตว์ทั้งหลาย  ต้องช่วยหมู่สัตว์ออกจากกองทุกข์   เกิดมาพิการไหม?    เกิดมาพร้อมปุริลักษณะมหาบุรุษ  ๓๒  ประการ หากมนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ การบำเพ็ญเพียรของพระโพธิสัตว์ย่อมไร้ผล    หากไร้ผลพระพุทธองค์ก็ไม่มี เมื่อตัดต้นเหตุ คือ รักษาศีลข้อนี้แล้วจะเอาความพิการทางกายมาจากไหน     เจ้ากรรมนายเวรมาจากไหน เกิดใหม่จะไม่ทุกข์ทรมาน ความทุกข์ต่างๆ ทางกายหมดสิ้น  อะไรจะทำร้ายมนุษย์ได้อีก
มนุษย์  ยากจน  เสื่อมทรัพย์  โดนขโมย  ทำอะไรไม่รุ่งเรือง
ศีลข้อที่     การลักทรัพย์ 
      ตนเองเป็นผู้ลักทรัพย์ พอใจ ชักชวน  กล่าวสรรเสริญการลักทรัพย์ บุคคลที่เสพ   เจริญ ทำให้มากแล้วย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต   อย่างเบาที่สุดทำให้เป็นผู้เสื่อมโภคทรัพย์   แก่ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์  การลักทรัพย์อย่างเบาที่สุด คือ เสื่อมทรัพย์ แล้วอย่างหนักคือ โดนขโมยทรัพย์สินต่างๆ ที่หามาได้  การลักทรัพย์ คือ กรรมทางทรัพย์ ผู้กระทำผิดทางทรัพย์ ย่อมโดนกระทำตอบทางทรัพย์  ในส่วนการค้าขายหรือทำอะไรไม่รุ่งเรืองนั้น  ยกตัวอย่างหนึ่งพระไตรปิฎก  พระสุตตันตปิฎก    เล่มที่ ๒๑          เรื่อง วณิชชสูตร
 “...ครั้งอดีตพระสารีบุตรเข้าไปถามพระพุทธองค์ว่า อะไรเป็นเหตุให้ค้าขายขาดทุนหรือทำอะไรไม่เจริญรุ่งเรืองขณะที่บางคนทำอะไรก็รุ่งเรืองในการค้า  พระพุทธองค์ตอบว่า  สารีบุตร
๑.)ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์    แต่กลับไม่ถวายสิ่งใดเลย    เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้นกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายใดๆ จะขาดทุน
๒.)ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์ กลับไม่ถวายเท่าที่ท่านประสงค์    เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้น กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆ จะไม่ได้กำไรตามที่คาดหวัง
๓.)ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเป็ดโอกาสให้ให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์     แล้วถวายท่านครบตามประสงค์     เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้น กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆ ก็จะได้กำไรตามที่คาดหวัง
๔.) ผู้ใดเข้าหาสมณะแล้วเปิดโอกาสให้ท่านขอสิ่งที่ประสงค์   แต่กลับถวายเกินความประสงค์  เมื่อเคลื่อนจากอัตภาพนั้น กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าทำการค้าขายอย่างใดๆ จะได้กำไรเกินความคาดหมาย
  จากสาเหตุเหล่านี้มาจากความยากจน  ความรวย เป็นคำตอบของคำถามว่าทำไมจึงมีคนจนคนรวย  การให้ทาน  หรือ การบริจาคสิ่งของต่างๆ เป็นผลของความจนความรวย   คือ มนุษย์ที่ไม่เคยให้ทานกับใครเลยเกิดมาจะยากจน การให้ทานก็แบ่งลำดับชั้น  คือ องค์ประกอบแบบไหน ให้ทานกับใคร เช่น ให้ทานกับสัตว์ก็มีผลน้อยกว่ามนุษย์ มนุษย์ทุศีลผลน้อยกว่ามนุษย์มีศีล (ศีล ๕ , ๘ , ๑๐ , ๒๒๗ , ๓๑๑ ข้อ) มนุษย์มีศีลน้อยกว่าพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์และองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นทานอันเลิศที่สุด ปรารถนาสิ่งใดก็สมหวัง (ผู้เขียนเรียกทานมากกว่าบุญเพราะยุคแรกๆ นั้นมีแต่ทาน บุญเพิ่งเกิดมายุคหลัง ทานคือการเจาะจงให้   ส่วนบุญ คือ การร่วมกันทำ  หรือเรียกรวมๆ ว่าทำบุญทำทานก็ได้ )  หากย้อนไปดูว่าทำไมพระพุทธองค์ถึงสำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตอนเป็นพระโพธิสัตว์ชาติสุดท้าย คือพระเวสสันดร ท่านทำทานเรียกว่ามหาทาน เกิดใหม่  คือ  เจ้าชายสิทธัตถะชาวพุทธย่อมรู้ดี     หากผลของทานสร้างความร่ำรวยไม่ได้หากมนุษย์เลือกเกิดมาจน รวยไม่ได้   การบำเพ็ญเพียรของพระโพธิสัตว์ย่อมไร้ผล   หากไร้ผลพระพุทธองค์ย่อมไม่มี หากตัดต้นเหตุของความจน คือ รักษาศีลข้อนี้รวมทั้งการให้ทานต่างๆ แล้วจะเอาความจนมาจากไหน ความทุกข์ต่างๆ ทางทรัพย์ก็หมดสิ้น เมื่อเกิดใหม่ก็ไม่ทุกข์ทรมาน จากความยากจน เสื่อมทรัพย์  หรือทำการค้าต่างๆ ก็เจริญรุ่งเรือง อะไรจะทำร้ายมนุษย์ได้อีก
มนุษย์ มีศัตรูมีเวร อกหัก  ๒ เพศในร่างเดียว  ประสบปัญหาทางเพศต่างๆ      
ศีลข้อที่ ๓  การประพฤติผิดในกาม
      ตนเองเป็นผู้ประพฤติผิดในกาม  พอใจ  ชักชวน กล่าวสรรเสริญการประพฤติผิดในกาม บุคคลที่เสพเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก สัตว์เดรัจฉาน เปรต อย่างเบาที่สุด ย่อมอำนวยผลให้เป็นผู้มีศัตรู และมีเวรแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์   การประพฤติผิดในกามอย่างเบาที่สุด ทำให้มีศัตรู และมีเวร  คือเมื่อเจอหน้าใครก็รู้สึกไม่ชอบหน้า เกลียดโดยไม่มีเหตุผล แล้วอย่างหนักคือ ต้องอกหัก  ผิดหวัง  รักใครก็ไม่สมหวัง หรือเกิดมาวิปริตผิดเพศ ปัญหาทางเพศต่างๆ ล้วนมาจากการประพฤติผิดในกามทั้งสิ้น   การประพฤติผิดในกาม ผู้กระทำผิดในกาม ย่อมโดนกระทำตอบทางกาม   ยกตัวอย่าง    เรื่อง
มหานารทกัสสปะชาดก
      เพราะกรรมที่ครั้งที่เคยมัวเมา  เป็นชายชู้กับภรรยาผู้อื่นไว้มาก   อิฉันตายจากชาตินั้นแล้ว     ต้องลงไปหมกไหม้  อยู่ในโรรุวนรก  พ้นจากนรกแล้ว  ขึ้นมาเป็นลาถูกเขาตอน     ตายจากความเป็นลาเกิดมาเป็นลิงที่ถูกขบกัดลูกอัณฑะ ตายจากความเป็นลิงแล้วเกิดมาเป็นวัวถูกตอน  ตายจากความเป็นวัวแล้วเกิดมาเป็นกระเทย  หลังจากนั้นจึงมีบุญพอ  จะไปเป็นนางอัปสรสวรรค์และมาสู่ความเป็นพระนางรุจาในบัดนี้ นี่คือกรรมในการประพฤติผิดในกาม ปัญหาทางเพศต่างๆ ล้วนมาจากการผิดศีลข้อนี้ทั้งสิ้น  นี่คือคำตอบของมนุษย์ที่ว่าทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้  อกหัก   ผิดหวัง   มีปัญหาทางเพศต่างๆ    ถามตัวเองว่าเพราะอะไรเหตุทั้งหลายล้วนมาจากการเบียดเบียนในกามทั้งสิ้น หากตัดต้นเหตุ คือ การรักษาศีลข้อนี้    กรรมทางเพศต่างๆ ก็ไม่มี    เมื่อเกิดใหม่ การถูกกระทำทางเพศ ความผิดปกติในกามก็ไม่มีเช่นกัน อะไรจะร้ายทำมนุษย์ได้อีก

มนุษย์ถูกกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แตกจากมิตร วาจาไม่น่าเชื่อถือ  ได้ฟังเรื่องไม่น่าพอใจ  อยู่ใน
สังคมแห่งการเบียดเบียนกันด้วยวาจา
ศีลข้อที่ ๔  การพูดเท็จ ส่อเสียด คำหยาบ  เพ้อเจ้อ
      ตนเองเป็นผู้พูดเท็จ  ส่อเสียด คำหยาบ  เพ้อเจ้อ  พอใจชักชวน   กล่าวสรรเสริญ   บุคคลที่เสพ  เจริญทำให้มากแล้ว ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก สัตว์เดรัจฉาน  เปรต อย่างเบาที่สุด ถูกกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง แตกจากมิตร มีวาจาไม่น่าเชื่อถือ ได้ฟังเรื่องไม่น่าพอใจแก่ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์  แล้วอย่างหนักคือ เมื่อพูดเท็จ หลอกลวงผู้อื่นย่อมถูกหลอกลวง  ถูกใส่ความพูดส่อเสียด  ได้ฟังเสียงไม่น่าพอใจ   พูดคำหยาบก็จะถูกกระทบด้วยคำหยาบตลอดเวลา พูดเพ้อเจ้อ วาจาไม่น่าเชื่อถือ เป็นการตอบคำถามว่าทำไม มนุษย์ถึงเกิดมาในสถานที่เสื่อมโทรมประกอบด้วยการเบียดเบียนกันตลอด  บางคนเกิดมาพร้อมด้วยสังคมที่สงบ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่บางคนกลับอยู่ในสังคมแห่งการหลอกลวง ถูกเบียดเบียนกันด้วยวาจาตลอดต้องทุกข์ด้วยคำพูด  สภาวะแวดล้อม  สังคมที่เสื่อมโทรม  ผลต่างๆ ย่อมมาจากสาเหตุนี้ ผลจากการเบียดเบียนทางคำพูดย่อมถูกกระทำตอบทางคำพูด    นี่คือ กรรมทางวาจาของมนุษย์   พระโพธิสัตว์ตอนบำเพ็ญเพียรล้วนรักษาศีลข้อสัจจะ พูดจาไพเราะอ่อนหวานชอบแสดงธรรมอธิบายธรรมไม่พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ ย่อมไม่ถูกกระทบด้วยสิ่งต่างๆ หากตัดต้นเหตุ คือรักษาศีลข้อนี้ ย่อมรอดพ้นจากกรรมทางคำพูดทั้งหมด    หากไม่สร้างเหตุ ย่อมไม่ได้รับผล เมื่อเกิดใหม่จะอยู่ในสังคมที่ดี  แวดล้อมด้วยสิ่งที่ดีๆ    หากมนุษย์เลือกเกิดในสถานที่ดีๆ ไม่ได้ พระพุทธองค์ชาติสุดท้ายคงไม่ใช่เจ้าชายสิทธัตถะ  พระพุทธศาสนาคงไม่มี  เมื่อเกิดใหม่ อะไรจะทำร้ายมนุษย์ได้อีก ผู้รู้ท่านจะเข้าใจ มนุษย์ที่ฆ่าตัวเอง คือ เกลียดความเป็นมนุษย์   แล้วจะไปอยู่ที่ใดได้   นอกจากอบายภูมิ ๔โลกมนุษย์นั้น มนุษย์มีเสรีก็จริงอยู่  แต่โลกอื่นนอกจากมนุษย์นั้น     มนุษย์เลือกไม่ได้    กรรมทางความคิด สติปัญญา ล้วนมาจากการขาดสติทำลายตัวเองบ่อยๆ ผู้มีสติปัญญาสูงๆ เช่น พระอัครสาวกเบื้องขวา    ผู้เลิศ ทางปัญญา คือ พระสารีบุตรและพระพุทธองค์ อดีตล้วนพิจารณาธรรมอยู่เสมอจึงมีปัญญามาก ตัดต้นเหตุคือ รักษาศีลข้อนี้ รวมทั้งการมีสติพิจารณาธรรมอยู่เสมอ  ฟังธรรมอยู่เสมอ   รวมทั้งการบริจาคหนังสือหรือเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะต่างๆ เกิดใหม่จะรอดพ้นจากการปัญญาอ่อน มีสติปัญญามาก  อะไรจะทำร้ายมนุษย์ได้อีก
มนุษย์เป็นบ้า  ปัญญาอ่อน
ศีลข้อที่ ๕ การดื่มสุราเมรัย และสิ่งเสพติดต่างๆ
    ตนเองเป็นผู้ดื่มสุราเมรัยและสิ่งเสพติดต่างๆ  พอใจ  ชักชวน กล่าวสรรเสริญ  บุคคลที่เสพ เจริญทำให้มากแล้ว  ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดใน นรก สัตว์เดรัจฉาน  เปรต   อย่างเบาที่สุด เป็นผู้วิกลจริตแก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์    สิ่งเสพติดที่ทำลายระบบประสาทต่างๆ เป็นการทำลายตัวเอง  ฆ่าตัวเอง ไม่รักตัวเอง    ในจำนวนศีล  ๕ นี้  การทำลายตัวเองให้ขาดสติเป็นอันตรายอย่างยิ่ง     เพราะจะทำให้ผิดศีลข้อต่างๆ ตามมาได้ง่ายดังจะเห็นได้จากสื่อต่างๆ   มนุษย์ที่ฆ่ากันเอง  มนุษย์ที่ฆ่าพ่อแม่ เป็นกรรมหนักอนันตริยะกรรมล้วนมาจากการขาดสติ  การทำลายตัวเองให้ขาดสติบ่อยๆ ทำให้เกิดใหม่เป็นบ้า ปัญญาอ่อน  มีปัญหาทางสมองต่างๆเป็นผลจากการผิดศีลข้อ    ทั้งสิ้น ผู้ไม่รักษาสติของตนเอง เบียดเบียนตัวเองให้ขาดสติบ่อยๆ  ทำให้เกิด ขาดสติได้ง่าย ปัญญาน้อย   มนุษย์ที่คิดผิดเห็นผิดว่าตัวเองจะทำอะไรก็ได้ ไม่เป็นอะไร คือ ทำแล้วไม่ได้ทำร้ายใคร  หรือเบียดเบียนใคร มีมากในสังคมยุคนี้ ก็เหมือนกับการฆ่าตัวตาย ผิดไหม คิดว่าโลกอื่นไม่มี  ฆ่าตัวตายจะพ้นทุกข์ต่างๆ  แท้จริงแล้วเป็นกรรมหนักมากพอๆ กับฆ่ามนุษย์คนหนึ่ง  ในโลกแห่งวิญญาณนั้น



มนุษย์มีกรรมต่างๆ
    การผิดศีล    ทำให้เกิดกรรมของมนุษย์นั่นเอง  อธิบายกรรมก็ง่ายขึ้น เพราะนี่คือเหตุแห่งการเกิดกรรมกรรมมีกี่แบบจะเข้าใจ  แยกองค์ประกอบได้ดังนี้
 พระไตรปิฎก   พระสุตันตปิฎก          เล่ม   ๒๑              เรื่อง  กรรมวรรค
   “ พระพุทธองค์ตรัสไว้ ” กรรมมี    ประการ คือ
๑. กรรมดำวิบากดำ
    บุคคลในโลกนี้ ปรุงแต่ง  กายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม  ที่มีความเบียดเบียน ครั้นสำเร็จแล้ว  ย่อมเข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว  คือ  สัตว์นรก
๒. กรรมขาววิบากขาว
     บุคคลในโลกนี้ ปรุงแต่ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่มีความไม่เบียดเบียน เขาย่อมถูกกระทบด้วยการ
ไม่เบียดเบียน เป็นสุขโดยส่วนเดียว คือเทวดา                                                                                     
๓.  กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากดำวิบากขาว
      บุคคลในโลกนี้ ปรุงแต่ง  กายกรรม  วจีกรรม   มโนกรรม      ที่มีความเบียดเบียนบ้างไม่เบียดเบียนบ้าง ย่อมเข้าถึงโลกที่เบียดเบียนบ้าง ไม่เบียดเบียนบ้าง  คือ  มนุษย์  หรือเทวดาบางพวก
๔. กรรมทั้งไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว
        เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม    คือ  บุคคลที่เจตนาเพื่อละกรรมดำวิบากดำ  กรรมขาววิบากขาว เป็นไปเพื่อสิ้นกรรม
การเกิดแห่งกรรม   เหตุที่ทำให้เกิดกรรมมี    ประการ  คือ
  ๑. โลภะ  (  ความอยากได้ )  เป็นเหตุให้เกิดกรรม
  ๒. โทสะ  ( ความคิดประทุษร้าย ) เป็นเหตุให้เกิดกรรม
  ๓. โมหะ  ( ความหลง )  เป็นเหตุให้เกิดกรรม
     บุคคลผู้ทำกรรมอันเกิดจาก โลภ  โกรธ   หลง  เป็นให้สร้างกรรมใดๆ   ย่อมเป็นผลให้ได้รับผลกรรมนั้นๆตามมา ให้ผลด้วยตัวเอง ให้ผลในปัจจุบัน ลำดับที่เกิดหรือในระยะต่อไป
กระแสแห่งกรรม
    กระแสแห่งกรรม คือ กำลังหรือการวิ่งไปของกรรมดีและเลว ที่มนุษย์คิดผิดว่ากรรมไม่มีนั้น เหตุเพราะไม่เข้าใจกระแสแห่งกรรมนี้     ผู้อธิบายเรื่องกรรมส่วนมากอธิบายกระแสแห่งกรรมไม่ได้    ยกกรรมมาอธิบายด้วยเหตุที่มองไม่เห็น หรือจับต้องไม่ได้   มีแต่มนุษย์ที่ระลึกชาติได้เท่านั้นจึงจะเข้าใจ    ซึ่งก็ส่วนน้อย ผู้เห็นกรรมต่างๆ ของมนุษย์       ก็ยกเอาความรู้เฉพาะตนมาประกาศ     เห็นกรรมคนนั้นคนนี้ ซึ่งผู้อื่นรู้ตามไม่ได้ พระพุทธองค์ไม่เคยสรรเสริญสิ่งเหล่านี้           พระพุทธองค์สรรเสริญการแจกแจงกรรมในแง่ให้เกิดปัญญามากกว่าความหลง    ผู้ที่ได้รับความทุกข์จากกรรมย่อมต้องแสวงหาการหลุดพ้น         แต่เมื่อไปเจอกับพระอาจารย์ต่างๆ ที่พอจะรู้เห็นกรรม     ถ้าเป็นมนุษย์ที่มีศีลมีธรรมก็จะบอกทางออกให้ได้        แต่ถ้าไปเจอกับอาจารย์ไร้ศีลธรรม  หลอกลวง     ก็ถูกหลอกเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้ามีผู้ที่ศึกษาเรื่องกรรมจริงๆ  คือ  อ่าน  หนังสือหรือได้รับรู้เรื่องกรรมมากๆ มีปัญญาก็จะจับจุดได้     ว่าสาเหตุแห่งการเกิดกรรมต่างๆ นั้นมาจากศีล ๕  ผิดแต่ละข้อส่งผลเที่ยงตรง วัดได้ ตรวจสอบได้ ไม่ใช่วัดไม่ได้        ดังที่ผู้เขียนแจกแจงให้เห็นชัดเป็นข้อๆ ที่กรรมนั้นเที่ยงตรงเพราะกระแสแห่งกรรมนี้วัดได้  ความผิดในเรื่องใดย่อมส่งผลในเรื่องนั้น ลำดับที่เกิดหรือในระยะต่อไป สำหรับผู้เขียนนั้นกลับเห็นเป็นแค่ของเด็กเล่น คือ รู้ตั้งแต่เด็กแล้ว     ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลย หากไม่รู้จริงๆ ย่อมแยกแยะรายละเอียดเป็นข้อๆ ไม่ได้ ชี้จุดเกิดเหตุไม่ได้ และรู้ถึงขึ้นแค่เดินผ่านก็รู้ว่าคนนี้มีกรรมยังไง ทำอะไรมา และคิดอะไร จะสอนยังไง จะไปเป็นเทวดาหรือสัตว์เดรัจฉาน อ่านได้แม้กระทั่งคิดอะไรอยู่ มองเห็นกฏและสภาวะต่างๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไม่แสดงออก คือเห็นก็เห็น  รู้ก็รู้ แต่บอกใครไม่ได้ และก็แม่นเที่ยงตรงมาก สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่ายๆ อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องของผู้วิเศษ  สิ่งที่ยาก คือ  การอธิบายให้คนอื่นเกิดปัญญา  มองโลกมองกรรมที่เห็นจริงวัดได้จากการกระทำในปัจจุบันต่างหาก กรรมที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่กรรมที่มาจากอดีต กระแสแห่งกรรมนั้นจะส่งผลในปัจจุบันทันทีต้องเป็นกรรมหนัก ที่เป็นอนันตริยะกรรมเท่านั้น ที่จะส่งผลในทันที กรรมอื่นจะส่งผลตามลำดับ การฆ่าพ่อแม่  การฆ่าพระอรหันต์ ยุยงให้สงฆ์แตกแยก หรือทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต  กรรมเหล่านี้เป็นกรรมติดจรวด ส่งผลทันทีให้ผลในปัจจุบันโดยไม่ต้องรอ เหมือนกับพระเทวทัตที่ถูกธรณีสูป  การฆ่าพ่อแม่จึงเป็นกรรมหนักเทียบเท่าการฆ่าพระอรหันต์ ปิดทางสวรรค์ทั้งหมด  ลูกๆ ที่ทำร้ายพ่อแม่ หรือเถียงพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ จนถึงขึ้นฆ่าพ่อแม่พึงระวังไว้ เพราะกรรมเหล่านี้ให้ผลได้ในปัจจุบัน จึงมองเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ไม่ใช่นามธรรมที่จับต้องไม่ได้เมื่อมีลูก  ลูกก็จะเป็นเหมือนตัวเอง  ซึ่งมีตัวอย่างในสังคมปัจจุบันมาก  หากมนุษย์มองกรรมในลักษณะนี้ มนุษย์จะพ้นกรรมทั้งปวง  คือ ไม่ทำกรรมเลวทั้งหลาย ทำแต่กรรมดี หากคิดว่าเวรกรรมไม่มีจริง การฆ่าพ่อแม่ หรือทุบตี ทำร้ายพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ ก็ย่อมไม่มีผล แล้วโลกนี้จะเป็นยังไง มีพ่อปแม่คนไหนต้องการให้ลูกเป็นแบบนี้บ้าง ขอยกตัวอย่างหนึ่งในสังคมที่มองเห็นได้  คือ มีเรื่องกรรมอยู่เรื่องหนึ่ง พ่อแม่มีลูกหลายคน มีสมบัติต่างๆ ก็แบ่งสมบัติให้ลูกๆ แต่ละคนไม่เท่ากัน  ลูกๆ ก็คิดว่าพ่อแม่ลำเอียงได้มากได้น้อย ทีนี้เมื่อพ่อแม่ล้มป่วยก็เกี่ยงกันดูแล บ้างก็บอกว่าให้คนโตดูแล เพราะได้สมบัติมากเป็นลูกรัก เกี่ยงกันเพราะเหตุแห่งสมบัติ  สุดท้ายพ่อแม่ก็ไม่ได้รับการดูแลและตายลง ต่างคนก็ต่างมีลูก ลูกๆ ก็ถามว่าทำไมพ่อแม่ถึงไม่ดูแลตายาย ทำไมต้องปล่อยให้ตายายเป็นแบบนี้  พ่อแม่เหล่านั้นตอบลูกๆไปว่าเพราะตายายลำเอียงแบ่งสมบัติไม่เท่ากัน เด็กๆ เหล่านั้นก็เห็นค่าของสมบัติมากกว่าความกตัญญู เมื่อถึงคราวแก่เฒ่า ก็ไม่มาดูแลพ่อแม่เพราะไม่เห็นคุณค่าของความกตัญญู พึงสอนลูกแบบนั้นอนาคตย่อมเป็นแบบนี้ นี่คือกรรมที่ส่งผลในปัจจุบัน มองเห็นได้ทั่วไป  ผู้ที่ค้านว่าเวรกรรมไม่มีจริงกก็ต้องค้านสิ่งเหล่านี้ด้วย มนุษย์ทุกคนย่อมมีพ่อแม่หรือลูกๆ จะค้านความเป็นจริงเหล่านี้ได้หรือ ลองพิจารณาดูแล้วโลกนี้จะเป็นยังไง  ให้มองกรรมปัจจุบันที่วัดได้ ให้ผลได้มากกว่าอดีตที่ไม่รู้ว่ามีอยู่หรือไม่มีอยู่ จะมีประโยชน์มากกว่า  อย่าไปรู้เรื่องกรรมในอดีตเลย เมื่อเป็นมนุษย์แล้ว สิ่งที่อยู่ปัจจุบันต่างหากที่เป็นสิ่งจำเป็น ถึงจะรู้ยังไงก็แก้ไขไม่ได้  เมื่อส่องกระจกเห็นเงาตัวเองในกระจก ทุกๆ สิ่งที่ได้มาล้วนมีเหตุทั้งสิ้น  ความหล่อ  สวย  ร่ำรวย  ยากจน พิการ  เป็นโรคร้าย สิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่แค่เพียงมองเห็นตัวเองในกระจก วัดตัวเองตรวจสอบตัวเองได้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ มีสติอยู่กับปัจจุบัน พิจารณาตัวเองก่อนจะสาย มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เลือกได้ จะเห็นจะรู้สิ่งใด เอาสิ่งนั้นมาพิจารณาให้เข้าใจจะเป็นประโยชน์มากกว่า ถ้าเห็นผีควรพิจารณาผี เมื่อผีมีอยู่จริง เทวดาก็มีจริง พระพุทธองค์ตรัสเรื่องต่างๆ ก็เป็นจริง ถ้าไม่เคยเห็นผีก็ไม่เชื่อว่าผีมีอยู่จริง ดังนั้นควรมองสิ่งที่วัดได้จริง พ่อแม่ ลูก ความกตัญญู สิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือเปล่า พระพุทธองค์ก็ตรัสสรรเสริญความกตัญญู ขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งจากพระวินัยปิฎก
  ครั้งพุทธกาลมีลูกคนรวยคนหนึ่งได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์มีดวงตาเห็นธรรมคือ พระรัฐบาล ขอพ่อแม่ออกบวช พ่อแม่ไม่ยอมเพราะมีลูกคนเดียว  สมบัติมีมากไม่มีคนดูแล แต่ลูกอยากบวชมากถึงขนาดยอมตาย คือ อดอาหารไม่กินข้าว และพ่อแม่ของพระรัฐบาลก็ไปบอกเพื่อนๆ ของพระรัฐบาลให้ไปเกลี้ยกล่อมพระรัฐบาลให้ยอมแต่ก็ไม่เป็นผล พ่อแม่จึงยอมให้ลูกออกบวชเพราะไม่อยากให้ลูกตาย       เมื่อบวชแล้วก็ออกบำเพ็ญเพียรอยู่นาน ก็ไม่เกิดผล กลับมาบ้านพ่อแม่แก่เฒ่ามาก สมบัติต่างๆก็ถูกคนใกล้ชิดเอาไปจนหมด  พ่อแม่ได้รับความลำบากจึงออกบิณฑบาตมาดูแลพ่อแม่  เช็ดขี้เยี่ยวพ่อแม่  เรื่องราวรู้ถึงพระพุทธองค์เคยบัญญัติพระวินัยข้อหนึ่งที่พระจับต้องผู้หญิงไม่ได้ ก็เลยเว้นไว้เฉพาะพ่อแม่เท่านั้นที่พระภิกษุจะสามารถจับต้องได้ พระพุทธองค์ก็เคยทำมาแล้ว คือ พระสุวรรณสามตอนเป็นพระโพธิสัตว์

การแก้กรรม       
    ผู้คนมีปัญหาเรื่องกรรมต่างๆ มีมาก ในอดีตก็มีคนไปถามพระพุทธองค์ว่า  การแก้กรรมทำได้ไหม แก้ได้ไหม  พระพุทธองค์ก็เลยย้อนถามว่า หากฆ่าคนตายแล้วจะทำให้ฟื้นได้ไหม ก็ตอบว่าไม่ได้   หากฆ่าคนตายแล้วทำให้ฟื้นไม่ได้ การแก้กรรมก็ทำไม่ได้เช่นกัน  แม้แต่พระอรหันต์ผู้เลิศในฤทธิ์ก็ยังแก้ไขไม่ได้ คือ พระโมคคัลลานะพระอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้เป็นเลิศทางฤทธิ์   ถูกพวกนอกศาสนาทุบตีทำร้ายจนกระดูกแหลกทั้งร่างก่อนมรณะภาพได้ใช้ฤทธิ์ประสานกายเหาะไปหาพระพุทธองค์เพื่อลาไปแดนนิพพาน  ภิกษุทั้งหลายก็เลยถามถึงสาเหตุว่าทำไม “ พระพุทธองค์ตรัสว่า ”  ในกาลครั้งหนึ่งพระโมคคัลลานะถือกำเนิดเป็นมนุษย์แล้วคบมิตรชั่วและได้ภรรยาเป็นหญิงแพศยา นางใส่ไฟว่าพ่อกับแม่สามีใช้และทำร้ายนางก็เลยเห็นผิด ทุบตีทำร้ายพ่อแม่จนตาย ตั้งแต่บัดนั้นก็ลงอเวจีมหานรก  เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็ถูกทุบตีจนตายทุกภพทุกชาติ  มาภพนี้แม้จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้เลิศทางฤทธิ์ก็ยังหนีกรรมไปไม่ได้  ถูกทุบตีจนตาย  แต่ตายแล้วพ้นกรรมสู่แดนนิพพานไม่มาเกิดอีก  การป้องกันดีกว่าแก้  เมื่อไม่ทำผิดก็ไม่ต้องรับโทษ  กรรมเล็กๆ น้อยๆ ยังพอแก้ไขได้แต่กรรมที่เป็นอนันตริยะกรรม ๔  อย่างดังที่กล่าวมาแล้วแก้ไขไม่ได้ เมื่อทำไปแล้วปิดทางสวรรค์นิพพานทั้งหมด หากเป็นมนุษย์แล้วแม้จะฆ่าคนตายมามากมายก็ยังพอกลับใจเป็นพระอรหันต์ได้ เหมือนองคุลีมาร  มนุษย์ทั้งหลายผู้เห็นผิดเป็นชอบ ผู้เป็นมิจฉาทิฐิ  เห็นว่าตายแล้วสูญโลกอื่นไม่มี เวรกรรมไม่มีจริง เกิดมาชาติเดียวอยากทำอะไรก็ทำ ไม่สนใจสิ่งใด อยากชั่วก็ชั่ว ทำอะไรไปแล้วไม่เกิดผลชีวิตนี้เกิดมาชาติเดียวต้องเอาทุกอย่างจะได้ไม่เสียชาติเกิด  หมิ่นแคลนผู้ทำดีผู้ปฏิบัติดีว่าเสียชาติเกิด  เหมือนก้าวขาข้างหนึ่งจุ่มลงในความทุกข์ต่างๆ แล้ว ถ้ารู้สึกว่าร้อนถอนขาออกมาก็ยังไม่สาย อภิสิทธิ์มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่เลือกได้กลับตัวได้

เลือกเกิดเป็นชายหรือหญิง
     การเป็นเพศชายหรือหญิงเปรียบจากสภาวะไหน
- การเป็นเพศหญิง  ท่าทาง  การไว้ตัว  การชอบผู้ชาย  การให้ทานที่ประกอบด้วยความสวยงาม  จริตต่างๆ การเป็นผู้ให้  ความเป็นเพศแม่
- การเป็นเพศชาย ท่าทาง  ความเข้มแข็ง  การให้ทานที่ประกอบด้วย  กำลัง  ความกล้าคิด  กล้า เป็นผู้นำในการทำบุญต่างๆ
   ชายหรือหญิงหากพอใจในสภาวะของตน ย่อมล่วงพ้นไปไม่ได้    ยกตัวอย่างหนึ่งในพระไตรปิฎก             พระอภิธรรมปิฎก  เรื่อง มัตสังคหะ รูปสังคหะวิภาค
       ผู้ใดที่ได้อิตถีภาวะรูป (หญิง) เพราะชาติแต่ปางก่อน ประกอบกุศลกรรมอย่างอ่อน เป็นกรรมที่ประกอบด้วยความเลื่อมใสก็จริง  แต่เจือปนไปด้วยความหวั่นไหว  ส่วนผู้ที่ได้รับปุริสภาวะรูป ( ชาย ) เพราะอดีตชาติได้ประกอบกุศลกรรมที่สูงด้วยความศรัทธา ความเลื่อมใส  ความตกลงปลงใจที่หนักแน่นปราศจากความหวั่นไหว ให้เกิดความย่อหย่อน  กุศลกรรมอย่างนี้  เรียกว่าเป็นกุศลกรรมที่ทรงพลัง  จึงเป็นผลให้เกิดเป็นชาย
-  การเลือกเกิดเป็นชายหรือหญิง  คือการปรับสภาวะต่างๆ ให้เหมาะสมกับความเป็นชายหรือหญิง  หากมนุษย์เลือกเกิดเป็นชายหรือหญิงไม่ได้  พระพุทธองค์ตอนบำเพ็ญเพียรเป็นพระโพธิสัตว์คงมีเกิดเป็นหญิงบ้าง         คงไม่เกิดเป็นชายทุกภพทุกชาติ         (  ยกเว้นพระโพธิสัตว์ที่เลือกเป็นหญิงเพื่อมาโปรดสัตว์ คือ พระอวะโลกิเตศวร หรือมนุษย์เรียกว่า เจ้าแม่กวนอิม )
เลือกเกิดเป็นมนุษย์  หล่อ  สวย ร่ำรวย  ยากจน
    พระไตรปิฎก พระสุตันตปิฎก      เล่ม  ๒๑       เรื่อง  พระนางมัลลิกาเทวี
     ครั้งสมัยพุทธกาล พระนางมัลลิกาเทวี ซึ่งเป็นมเหสีกษัตริย์ แต่รูปไม่งามถามพุทธองค์ว่า อะไรหนอเป็นเหตุให้มาตุคาม ( หญิง ) บางคนในโลกนี้ มีผิวพรรณไม่งาม รูปชั่ง ไม่น่าดูและเป็นคนยากจนขัดสนทรัพย์ ขัดสนโภคะ ( เครื่องอุปโภคบริโภค ) ต่ำศักดิ์ 
     พระพุทธองค์ตอบว่า
       มัลลิกามาตุคามบางคนในโลกนี้เป็นผู้โกรธ มากไปด้วยความคับแค้นใจ  ถูกว่ากล่าวแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง  ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงอาการโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจ เธอไม่ให้ทาน คือ  ข้าว น้ำ ผ้า  ยวดยาน ดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัยและเครื่องประทีปแก่สมณะ หรือพราห์ม มีใจริษยาในลาภสักการะและความเคารพ ความนับถือการไหว้ การบูชาของผู้อื่น กีดกันตัดรอนผูกความริษยา ถ้าตายแล้วเกิดใหม่ แล้วกลับมาเกิดชาติใดๆ ย่อมผิวพรรณไม่งาม รูปชั่วไม่น่าดูและเป็นคนยากจน ขัดสนทรัพย์ ขัดสนโภคะ  ต่ำศักดิ์
     มัลลิกามาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้โกรธ มากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่ากล่าวแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว  กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง  แสดงอาการโกรธ ความขัดเคืองและความไม่พอใจแต่เธอให้ทาน  คือ  ข้าว น้ำ ผ้า  ยวดยาน ดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้     ที่นอน   ที่อยู่อาศัยและเครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราห์ม  กลับมาเกิดใหม่กลับมาเกิดชาติใดๆ ย่อมมีผิวพรรณไม่งาม  รูปชั่วไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก  สูงศักดิ์ 
    มัลลิกามาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่โกรธ ไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ  ถูกว่ากล่าวแม้เล็กน้อยก็ไม่แสดงอาการโกรธ ขัดเคือง  ฉุนเฉียว  กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง เธอไม่ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้  ของหอม เครื่องลูบไล้  ที่นอนที่อยู่อาศัย และเครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราห์ม ตายแล้วกลับมาเกิดชาติใดๆ ย่อมมีผิวพรรณงาม รูปงามน่าดู แต่เป็นคนยากจน  ขัดสนทรัพย์ ขัดสนโภคะ ต่ำศักดิ์
    มัลลิกามาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่โกรธ ไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ  ถูกว่ากล่าวแม้เล็กน้อยก็ไม่แสดงอาการโกรธ ขัดเคือง  ฉุนเฉียว  กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แต่เธอให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้  ของหอม เครื่องลูบไล้  ที่นอนที่อยู่อาศัย และเครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราห์ม ตายแล้วกลับมาเกิดชาติใดๆ ย่อมมีผิวพรรณงาม รูปงามน่าดู แต่เป็นคนมั่งคั่ง  มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก สูงศักดิ์
    พระนางมัลลิกาเทวีได้รับรู้ ดังนั้น จึงเข้าใจและตอบพุทธองค์ไปว่า ถ้าอย่างนั้นหม่อมฉันคงให้ทานไว้มากในอดีตจึงเป็นมเหสีกษัตริย์  แต่เป็นผู้รูปไม่งามเพราะเป็นผู้มักโกรธ ใช้อารมณ์อยู่เสมอ ต่อไปนี้จะไม่มักโกรธอีกและถวายทานแก่พระพุทธองค์เป็นจำนวนมาก
     อิสสตรีทั้งหลายหากได้ฟังบรรยายธรรมข้อนี้ พึงตรวจสอบตัวเองว่าอยู่ในข้อใด  สามารถวัดได้ทันทีและตอบว่าอนาคตจะเป็นยังไง เลือกไปทางไหน องค์ประกอบเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง แค่ปรับใช้กับลักษณะของชายหรือหญิงเท่านั้น  แค่เลือกและปฏิบัติตามสภาวะเท่านั้น ก็เลือกได้ตามต้องการ
พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก  เล่มที่ ๑๔  จูฬกัมมภิวังคสูตร  มหากัมมภิวังคสูตร
     สมัยหนึ่ง   สุภมาณพโตเทยยบุตร  ถามพระพุทธองค์ว่า    อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์ที่เกิดเป็นมนุษย์ ปรากฎเป็นคนเลวและคนดี คือ มนุษย์ทั้งหลายย่อมปรากฎว่ามีอายุสั้น  อายุยืน มีโรคมาก โรคน้อย มีผิวพรรณทราม ผิวพรรณดี  มีอำนาจน้อย อำนาจมาก มีโภคะน้อย โภคะมาก เกิดในตระกูลต่ำ ตระกูลสูง มีปัญญาน้อย  ปัญญามาก
   พระพุทธองค์ตรัสว่า  มาณพ บุคคลบางคนในโลกนี้    เป็นบุรุษหรือสตรีก็ตาม  เป็นผู้ฆ่าสัตว์ เป็นคนหยาบช้า  มีมือเปื้อนเลือด ฝักใฝ่ในการประหัตประหาร     ไม่มีความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย เพราะกรรมนั้น ที่เขาให้บริบูรณ์ ยึดมั่นไว้อย่างนั้น      หลังจากตายแล้ว   เขาจะไปเกิดใน   อบาย   ทุคติ   วินิบาต    นรก หลังจากตายแล้ว ถ้าไม่ไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ เขาจะเป็นคนมีอายุสั้น  รวมความว่า    มาณพ  บุรุษหรือสตรีมี ปฏิปทา ( การกระทำ )    ที่เป็นไปเพื่อความมีอายุสั้น      ย่อมนำเข้าไปสู่ความมีอายุสั้น  การฆ่าสัตว์  เบียดเบียนสัตว์ทำให้เกิดใน   อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  อายุสั้น  การเว้นการเบียดเบียน  ให้ทานแก่สัตว์  ช่วยเหลือสัตว์  ทำให้เกิดในสุคติ  โลกสวรรค์  อายุยืน มาณพ  บุรุษหรือสตรีมีการกระทำ  เป็นผู้มักโกรธ  มากไปด้วยความคับแค้นใจ   ถูกว่ากล่าวแม้เล็กน้อยก็ขัดใจ  โกรธ  พยาบาท  ปองร้าย แสดงความโกรธความปองร้าย แม้เล็กน้อยให้ปรากฎ ทำให้เกิดใน อบายทุคติ  วินิบาต  นรก  กลับมาเกิดเป็นมนุษย์จะมีผิวพรรณทราม  บุคคลที่เว้นขาดจากสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้ไม่ริษยา ไม่ประทุษร้าย มีใจยินดีในลาภสักการะและการบูชาของบุคคลอื่น  อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล  ให้ทานเสมอ หลักจากตายแล้วจะเกิดในสุคติโลกสวรรค์  เกิดเป็นมนุษย์จะมีผิวพรรณผ่องใส 
       มาณพ บุรุษหรือสตรีมีการกระทำ เป็นผู้มีใจริษยา    ย่อมริษยา  ประทุษร้าย     ผูกความริษยาในลาภสักการะ  ความเคารพ  ความนับถือ การกราบไหว้   และการบูชาของบุคคลอื่น    เพราะกรรมนั้นจะไปเกิดในอบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  กลับมาเกิดเป็นมนษย์ในที่ใดๆ เขาจะเป็นผู้มีอำนาจน้อย    บุคคลที่เว้นขาดจากสิ่งเหล่านี้  ทำเพิ่ม  เขาจะไปเกิดใน  สุคติ  โลกสวรรค์  กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ เขาจะเป็นผู้มีอำนาจมาก
       มาณพ  บุรุษหรือสตรีมีการกระทำ ผู้ไม่ให้  ข้าว  น้ำ  ผ้า  ยวดยาน   ดอกไม้    ของหอม    เครื่องลูบไล้ที่นอน  ที่พัก  เครื่องประทีปหรือพราหมณ์  เพราะกรรมนั้นจึงไปเกิดใน  อบาย  ทุคติ วินิบาต  นรก  กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ  เขาจะเป็นผู้มีโภคะน้อย บุคคลให้ทานต่างๆ หลังจากตายแล้ว กรรมนั้นจะนำไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ เขาจะเป็นผู้มีโภคะมาก
  มาณพ  บุรุษหรือสตรีมีการกระทำ  เป็นผู้กระด้าง  เย่อหยิ่ง  ไม่ยอมกราบไหว้ผู้ที่ควรกราบไหว้  ไม่ลุกรับผู้ที่ควรลุกรับ  ไม่ให้อาสนะแก่ผู้ที่ควรให้  ไม่ให้ทางแก่ผู้ควรให้  ไม่สักการะแก่ผู้ที่ควรสักการะ ไม่เคารพแก่ผู้ที่ควรเคารพ  ไม่นับถือผู้ที่ควรนับถือ  ไม่บูชาผู้ที่ควรบูชา  เพราะกรรมนั้น       หลังจากตายแล้วจึงไปเกิดใน อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก   กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ เขาจะเกิดในตระกูลต่ำ  บุคคลที่เว้นขาดและทำเพิ่ม หลังจากตายแล้วจะนำให้ไปเกิดในสุคติโลกสวรรค์ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใด ๆ เขาจะเกิดในตระกูลสูง
   มาณพ  บุรุษหรือสตรีมีการกระทำ  ไม่เข้าหาสมณะหรือพราหมณ์ แล้วสอบถามว่า    ท่านขอรับอะไรเป็นกุศล  อะไรเป็นอกุศล  อะไรมีโทษ  อะไรไม่มีโทษ  อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ  กรรมอะไรที่ข้าพเจ้าทำจึงเป็นประโยชน์เกื้อกูลหรือทุกข์      หลังจากตายแล้วถ้าไม่ไปเกิดใน  อบาย  ทุคติ  วินิบาต  นรก  กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในที่ใดๆ เขาจะเป็นผู้มีปัญญาทราม บุคคล  ทำเพิ่ม  สุคติโลกสวรรค์  กลับมาเกิดในที่ใดๆ จะมีปัญญามาก
      มาณพ   สัตว์หลายมีกรรมเป็นของตน    มีกรรมเป็นทายาท    มีกรรมเป็นกำเนิด    มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์  มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย  กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวและดีต่างกันด้วยประการฉะนี้ 

    บทสรุป
       การเลือกเป็นมนุษย์นั้นคืออะไร การเกิดมาเป็นมนุษย์คืออะไร   ผลพวงทั้งหมดในโลก  ความทุกข์ต่างๆ ความพิการเจ็บป่วยเป็นโรคร้าย เสียงร้องไห้ของมนุษย์ทั้งหลาย  จะแก้ไขยังไง อธิบายจากเหตุไปสู่ผล  ศีลห้านี่แหละ คือ ปัญหาทั้งหมด เป็นแกนกลางของทุกอย่าง เป็นผลทั้งหมดในโลกนี่คือ กระแสโลก ยิศีลห้าขาดเท่าไหร่ ความทุกข์ทรมานจะเพิ่มขึ้น เสียงมนุษย์ผู้โหยหวน ร่ำร้องว่าทำไมปํญหามีมากมายขึ้นเรื่อยๆ  การผิดศีล ๕ คือการเบียดเบียนกัน ยิ่งเบียดเบียน ยิ่งตกต่ำ ยิ่งทุกข์ทรมาน
       พระพุทธองค์ตรัสประโยคหนึ่งว่า “ การเบียดเบียนเป็นทุกข์ในโลก เราเป็นผู้ไม่เบียดเบียนแล้ว การจะพ้นทุกข์ไปได้ คือ การไม่เบียดเบียนเท่านั้น  การไม่เบียดเบียนคืออะไร คือการรักษาศีล ๕ นั่นเอง แล้วทุกข์ใดๆ ในโลกจะทำร้ายมนุษย์ได้อีก ” การเลือกเกิดจะแก้ไขปัญหาทุกอย่างบนโลก รักษาศีล  ๕ และเลือกว่าต้องการอะไร อยากรวยก็ให้ทาน อยากสวยก็เป็นผู้ไม่มักโกรธ มีใจยินดีในทานอันบริสุทธิ์ อยากพ้นการเวียนเกิดเวียนตายก็ปฏิบัติธรรม  การเลืกเกิดเป็นมนุษย์ คือการถือศีล  ๕ เมื่อถือศีล ๕ แล้วเลือกว่าต้องการอะไร จะมีสิ่งใดในโลกทำร้ายมนุษย์ได้อีก