ต้นเหตุ

     ต้นเหตุทั้งหลาย เหตุแห่งการเกิดภพภูมิต่างๆ หรือกรรมต่างๆ ของมนุษย์คืออะไร  มาจากไหน    ภพทั้งหลายเริ่มต้นจากไหน มนุษย์มีคำถามแบบนี้บ้างไหม  สิ่งที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด    สิ่งที่ทำให้มนุษย์จุติในภพต่างๆ ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์มากมาย  หรือจะพ้นกฎเกณฑ์หรือพ้นภูมิต่างๆ     เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ในอดีต  ปัจจุบัน  และอนาคต  ตรัสรู้คือ  ปฏิจฺจสมุปบาท  หรือต้นเหตุแห่งทุกสิ่ง เป็นโครงสร้างองค์ประกอบของสิ่งต่างๆ เป็นแกนกลางของทุกสิ่ง ต้นแบบในพระไตรปิฎกจะเป็นแบบนี้ คือ
          เพราะ   อวิชชา       เป็นปัจจัยให้เกิด       สังขาร
        เพราะ   สังขาร        เป็นปัจจัยให้เกิด       วิญญาณ
        เพราะ   วิญญาณ     เป็นปัจจัยให้เกิด       นามรูป
        เพราะ   นามรูป       เป็นปัจจัยให้เกิด       สฬายตนะ ( อายตนะ )
        เพราะ  สฬายตนะ      เป็นปัจจัยให้เกิด      ผัสสะ
        เพราะ   ผัสสะ            เป็นปัจจัยให้เกิด      เวทนา
        เพราะ   เวทนา           เป็นปัจจัยให้เกิด      ตัญหา
        เพราะ   ตัณหา           เป็นปัจจัยให้เกิด      อุปทาน
        เพราะ   อุปทาน          เป็นปัจจัยให้เกิด       ภพ
        เพราะ   ภพ                เป็นปัจจัยให้เกิด       ชาติ
        เพราะ    ชาติ              เป็นปัจจัยให้เกิด       เกิด  แก่  เจ็บ  ตาย
        เพราะ เกิดแก่เจ็บตาย   เป็นปัจจัยให้เกิด       ทุกข์ต่างๆ ในโลก
อวิชชา          คือ     การยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งต่างๆ 
สังขาร             คือ    ร่างกายมนุษย์ทั้งหมด
วิญญาณ        คือ    ความรู้สึก
นามรูป          คือ    ชื่อและวัตถุต่างๆ
อายตนะ        คือ     ตา หู  จมูก  ลิ้น  กาย  ใจ  ภายใน    ภายนอก 
ผัสสะ              คือ     การกระทบกันของสิ่ง    สิ่ง
เวทนา          คือ     ความรู้สึก สุข  ทุกข์
อุปทาน          คือ      การปรุงแต่ง
ภพ             คือ      กามภพ   รูปภพ   อรูปภพ  ใน  ๓๑  ภูมิ
ชาติ           คือ       การเกิดในภพต่างๆ
        นี่คือ  ปฏิจฺจสมุปบาท   โครงสร้างทั้งหมด  อธิบายแบบนี้เข้าใจยาก  ใครๆ ก็เขียนได้ เพราะมีในพระไตรปิฎก  แต่จะมีใครเข้าใจถึงแก่นแท้  และปรับเข้ากับทุกๆ องค์ประกอบได้  คือ อธิบายให้เต็มโลก หรือย่อให้สั้นที่สุด  ผู้ใดพิจารณาปัญญาไม่พอ  จะทำให้เกิดเป็นบ้าได้ง่ายๆ       ครั้งหนึ่ง  พระพุทธองค์ท่องแบบนี้คือ ไล่ตั้งแต่ ทุกข์ทั้งหลายในโลกเกิด  เพราะ เกิด แก่ เจ็บ ตาย     เกิดแก่เจ็บตายเกิดเพราะชาติ คือเป็นคนสัตว์ต่างๆ ชาติเกิดเพราะภพ คือมีภพรองรับทั้ง  ๓๑  ภูมิ  ภพเกิดเพราะอุปทาน คือ การปรุงแต่ง คือ คิดจะไปอยู่แดนต่างๆ   อุปทานเกิดเพราะเวทนา คือความรู้สึกสุขบ้างทุกข์บ้าง เกลียดทุกข์อยากมีแต่สุข  เวทนาเกิดเพราะผัสสะ คือการกระทบของสิ่ง  ๒ สิ่ง เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส    กายได้สัมผัส   ใจได้คิดนึก ผัสสะเกิดเพราะอายตนะ  คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ   อายตนะเกิดเพราะนามรูปนามคือชื่อของสิ่งต่างๆ รูปคือ วัตถุ นามรูปเกิดเพราะวิญญาณ คือ ความรู้สึก    วิญญาณเกิดเพราะสังขาร สังขารเกิดเพราะอวิชชา คือ การยึดติดในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นตัวตนของตน    ส่วนเหตุ คือ สมุทัย ( เหตุแห่งการเกิดทุกข์ )  ส่วนผล  คือ นิโรธ ( เหตุแห่งการดับทุกข์ )  ส่วนอริยมรรคมีองค์    คือ การกระทำให้เข้าถึงเหตุเหล่านั้น อริยสัจ  ๔ คือ หัวใจของพระพุทธศาสนาจากอริยสัจ  ๔ ก็ปรับใช้กับคำสอนที่จะนำพามนุษย์สู่ภพต่างๆ รวมทั้งพ้นภูมิ  การฝึกจิตต่างๆ ตามสภาวะของสังคม       เข้ากับทุกองค์ประกอบทั้งสมถะกรรมฐาน  ๔๐  อย่าง และวิปัสสนากรรมฐาน  ๑๖  ขั้น  ปรับใช้กับจริตของบุคคลได้ไม่จำกัด      เรียกว่า   สัมมาสัมโพธิฌาณ ยังมีมากมายกว่านี้มาก   แต่ยกมาอธิบายโครงสร้างให้เข้าใจเหตุและองค์ประกอบทั้งหมดว่า     คือ อะไร  ผู้ที่รู้แก่นแท้จริงนั้น แทบจะเรียกว่าน้อยมาก หรือหากเทียบกับคนทั้งโลกอาจจะมีเพียง ๑ หรือ ๒  ในโลกเท่านั้น  ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงเป็นหนึ่งในโลก  ไม่มีใครเสมอเหมือนตราบ  ๕,๐๐๐  ปี    มนุษย์ผู้ใดคิดว่าฉลาด อย่าบังอาจไปเทียบเด็ดขาด หรือมนุษย์ผู้ใดคิดว่าทรงฤทธิ์ แม้แต่ท้าวผกาพรหมก็ปราบมาแล้ว ถ้าจะอธิบายแบบนั้นจะมีสักกี่คนบนโลกที่เข้าใจ มาดู ง่ายที่สุดดีกว่า    ตัดให้สั้นที่สุด ใครๆ ก็เข้าใจได้ คือระดับดอกเตอร์หรือชาวนาก็เข้าใจเหมือนกัน คือ ผัสสะ เมื่อผัสสะกระทบสิ่งต่างๆ ภพต่างๆ จึงเกิดขึ้น  และแยกสู่ภพต่างๆ ได้ดังนี้
อบายภูมิ     คือ  เมื่อผัสสะกระทบกับสิ่งต่างๆ คือ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น  ลิ้นได้รับรสกายได้สัมผัส ใจได้คิดนึก     แบ่งเป็นภายใน  ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ     ภายนอก ๖ คือ รูป เสียง กลิ่น  รส ความรู้สึกร้อนเย็นและความนึกคิด กระทบกัน เช่น เห็นรูปที่น่าเกลียดหรือสวยงาม    ได้ยินเสียงที่ไพเราะหรือด่าทอ   ได้รับรู้กลิ่นหอมหรือเหม็น  ได้รับรสที่อร่อยหรือไม่อร่อยหรือทั้ง  ๕ อย่างเกิดขึ้นมา  ใจที่คิดนึกจึงเกิดมา หากวิ่งตามจนทำให้เกิด ราคะ โทสะ โมหะ เป็นผลให้เบียดเบียน หรือผิดศีลห้าข้อต่างๆ จะเกิดกรรมชั่วส่งผลให้ไปจุติที่อบายภูมิ    กรรมชั่วจะส่งผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเบียดเบียนใครดังอธิบายไว้ก่อนแล้ว นี่คือต้นเหตุที่แท้จริงแห่งอบายภูมิ  ๔ คือ จุดถือกำเนิดอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน นี่คือต้นตอปัญหาหรือ คำถามว่าอบายภูมิ ๔ มาจากไหน มีจริงไหม จึงไม่ต้องมาตอบให้วุ่นวายอีก เพราะตราบใดที่คิดว่าอยู่ไกลหรือไม่มีอยู่จริง ตราบนั้นจะพ้นอบายภูมิ ๔ ไปไม่ได้    เพราะอยู่กับตัวทุกขณะจิต   มนุษย์พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา อยู่ที่ว่าจะทำผิดหรือยับยั้งได้หรือเปล่า      หากผัสสะกระทบแล้วมีศีลห้าควบคุม คือ รู้ว่าผิดนะเลิกซะ อย่าทำ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่จะพ้นกรรมต่างๆ หรืออบายภูมิ ๔ มากเท่านั้น   หากปล่อยตัวคิดว่าไม่มีจริงเหลวไหล ไร้สาระ  หรือกรรมดีชั่วไม่มีจริง  เกิดมาชาติเดียวภพอื่นไม่มี   อบายภูมิ ๔ ไม่มี   สัตว์นรกมีที่ไหน เปรตมีที่ไหน อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานมีที่ไหน หากมีต้องมองเห็นจับต้องได้จริง ทำผิดศีล ๕ ต่างๆ ยิ่งกระทบแล้วไร้ศีลห้าควบคุมมากเท่าไหร่ จะถูกดึงลงสู่ที่ต่ำมากเท่านั้น ไม่จำกัดรวยจนเสมอกันทั้งหมด คืออายุหรือเวลาในการชดใช้ต่างๆ นี่คือ ต้นตอปัญหาและคำตอบทั้งหมด  เรื่องอบายภูมิ ๔  เรียกว่า    ปฏิจฺจสมุปบาทผสานอบายภูมิ ๔ หรือต้นเหตุแห่งการไปเกิดในอบายภูมิ ๔
มนุษย์    คือ  เมื่อผัสสะกระทบกับสิ่งต่างๆ   คือ เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง    จมูกได้กลิ่น   ลิ้นได้รับรสกายได้สัมผัส ใจได้คิดนึก  เกิดมาทางใดทางหนึ่ง ได้รับรู้ว่าการรักษาศีลทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์  ตั้งใจรักษาศีล งดเว้นจากการเบียดเบียนต่างๆ ศีล ๕, ศีล ๑๐, ศีล ๒๒๗   , ศีล ๓๑๑      จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ที่มนุษย์มีกรรมต่างๆ มากมายหรือต่างกันไป      เพราะเหตุแห่งหารขาดทะลุของศีลมากหรือน้อยนั่นเองการรักษาศีล  คือ  มนุษย์   รักศีลเพียงวันเดียวชั่วชีวิต     ยังบอกกับตัวเองได้ว่าเราเป็นมนุษย์      นี่เรียกว่าปฏิจฺจสมุปบาทผสานมนุษย์ หรือทางแห่งมนุษย์
สวรรค์    คือ เมื่อผัสสะกระทบกับสิ่งต่างๆ คือ  เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง   จมูกได้กลิ่น     ลิ้นได้รับรสกายได้สัมผัส ใจได้คิดนึก  เกิดมาทางใดทางหนึ่ง ได้รับรู้ว่าการให้ทานทั้งหลายเป็นของเลิศ     ตั้งใจให้ทานจากน้อยไปหามาก  ดังกล่าวไว้แล้ว นี่เรียกว่า  ปฏิจฺจสมุปบาทผสานสวรรค์ หรือ ทางแห่งสวรรค์    ชั้น
พรหม   ๒๐   คือ   เมื่อผัสสะกระทบกับสิ่งต่างๆ คือ  เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น  ลิ้นได้รับรสกายได้สัมผัส ใจได้คิดนึก   เกิดมาทางใดทางหนึ่งก็รู้ว่าการปฏิบัติ สมาธิระดับต่างๆ เป็นของเลิศ    จึงตั้งใจควบคุมจิตใจ ทำสมาธิ แบ่งตามระดับต่างๆ  ตั้งแต่เบื้องต้นจนสูงสุด   ซึ่งมีอยู่แล้วในโลก  ตามแนวทางการปฏิบัติของตน แต่พระพุทธศาสนามีทุกอย่างรวบรวมไว้ทั้งหมด ให้เหมาะกับจริตของผู้ปฏิบัติ    คือ    สมถะ ๔๐  อย่าง และ วิปัสสนาฌาณ หรือเรียกรวมว่า  กรรมฐาน     นี่เรียกว่า ปฏิจฺจสมุปบาทผสานพรหม   หรือ ทางแห่งพรหม
การพ้นภูมิ
          เมื่อผัสสะกระทบกับสิ่งต่างๆ   คือ    เมื่อตาเห็นรูป    หูได้ยินเสียง  จมูกได้กลิ่น   ลิ้นได้รับรส  กายได้สัมผัส ใจได้คิดนึก  เกิดมาทางใดทางหนึ่ง คือ ได้ฟังจากผู้อื่น หรือพิจารณาโดยแยบคายจากเหตุไปสู่ผล  ก็เข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุของสิ่งทั้งหลาย  ตัดต้นเหตุ คือ เมื่อผัสสะกระทบทางใดทางหนึ่ง  เช่น ตาเห็นรูปที่สวยงามหรือน่าเกลียด   หูได้ยินเสียงไพเราะหรือด่าทอ  จมูกได้กลิ่นหอมหรือเหม็น  ลิ้นได้รับรสอร่อยหรือไม่อร่อย กายได้สัมผัสความร้อนหรือเย็น  ทั้งทางใดทางหนึ่ง ทั้ง ๕ อย่าง เกิดขึ้น ใจก็นึกขึ้นได้    ก็รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งขึ้นด้วยเหตุ  สู่ภพน้อยใหญ่  เมื่อผัสสะกระทบก็รู้ผัสสะ มีศีล ๕  ควบคุมที่ต้นเหตุเมื่อผัสสะเกิดทางใดทางหนึ่ง ก็ไม่วิ่งตามจนผิดศีล ๕  เมื่อควบคุมได้ด้วยเหตุที่รู้หรือไม่รู้  (  รู้ คือ การได้ยินได้ฟังมาก่อนและพิจารณาได้เอง   ไม่รู้  คือ ปฏิบัติธรรมจนควบคุมได้เอง คือ มีสติทันกับผัสสะต่างๆ )   ผลเหมือนกัน คือ จะปิดอบายภูมิ ๔ ทั้งหมด จึงปฏิญาณกับตัวเองได้ว่า   จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ    อันเป็นทุกข์  เปรต  อสุรกาย สัตว์นรก  สัตว์เดรัจฉาน  จบสิ้น  คือ  พระโสดาบัน    นี่คือ  ปฏิจฺจสมุปบาทผสานการพ้นภูมิ    
    พระพุทธองค์ตรัสว่า นี่คือ เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ คือ องค์คุณแห่งโสดาบัน เพราะเหตุที่ควบคุม ผัสสะได้  จึงตัดขาดจากภพน้อยใหญ่ได้ สิ่งที่เชื่อมต่อสู่ภพต่างๆ ตัดขาด เหลือเพียง    ชาติ     อบายภูมิ  ๔ สิ้นแล้ว   เข้าสู่กระแสแห่งพระนิพพาน ไม่มีวันเปลี่ยน หรือพุทธบุตรที่แท้จริง   พระอานนท์ถามพระพุทธองค์ว่า ปฏิจฺจสมุปบาทเป็นของง่าย ทำไมมนุษย์ไม่รู้ ภพต่างๆ เกิดขึ้นมาจากที่นี่   นี่คือ  จุดกำเนิดสิ่งต่างๆ   แค่ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น  ลิ้นได้รับรส   กายได้สัมผัส  ใจได้คิดนึก      ควบคุมได้ก็ไม่ก่อภพใหม่แล้วจุดเชื่อมโยงต่างๆ ถูกตัดขาด  พระพุทธองค์ตรัสว่า  ไม่ใช่หรอก ปฏิจฺจสมุปบาทนี้เป็นของยาก รู้ตามได้ยาก     ควบคุมยากที่สุด เพราะอยู่กับตัวมนุษย์ทุกคน  แต่มองไม่เห็น เหมือนเส้นผมบังภูเขา หรือของที่คว่ำอยู่  สิ่งต่างๆ ล้วนเกิดมาจากมนุษย์ทุกๆ ทาง    ต้นเหตุแห่งทุกสิ่ง คือ มนุษย์นั่นเอง   ต้นตอคำถามและคำตอบคือมนุษย์ไม่ต้องไปค้นหาที่ไหน เพราะตราบใดที่ไม่รู้จักตัวเอง ก็พ้นกฎเกณฑ์ต่างๆ ไม่ได้ นับวันสิ่งเหล่านี้เลือนหาย พุทธบุตรที่ศึกษาและรอบรู้องค์ความรู้นี้น้อยจนแทบนับจำนวนได้  ยิ่งผสานเข้ากับทุกๆ การปฏิบัติจิตแบบต่างๆ คือ  สมบูรณ์พร้อมนี้น้อยมาก และต่างคิดว่าเป็นของยาก ปฏิบัติได้ยาก เป็นพระอริยะเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้  เป็นโลกของพระอริยะ ชาวบ้านเข้าใจไม่ได้  หากชาวบ้านเข้าใจไม่ได้ แล้วมีไว้สอนใคร     ยากหรือง่ายอยู่ที่ผู้อธิบายต่างหากว่าจะเข้าใจถึงแก่นแท้และปรับใช้กับบุคคลต่างๆ ได้เหมาะสมกับสภาวะหรือเปล่า พระพุทธองค์สอนชาวนาท่านก็ตรัสเรื่องการทำนา เปรียบเทียบให้เข้าใจ สอนกษัตริย์ตรัสเรื่องกษัตริย์สอนพราห์มก็ตรัสเรื่องพราหณ์  ด้วยเหตุนี้คนจึงบรรลุธรรมมากแม้จะมีความรู้แตกต่างกันไปตามสาขา แต่ก็เข้าใจเหมือนกันหมดคือ   เมื่อรักษาศีลมั่นคงระดับผัสสะคือพรหมจรรย์เบื้องต้นหรือพระโสดาบันจนถึงไร้ผัสสะคือกระทบแล้วไม่มีตัวตน บุคคล เรา เขา ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตน อวิชชาที่ก่อภพชาติดับสูญ  คือพระอรหันต์ อยู่จบพรหมจรรย์อันเลิศ  ไม่มีกิจที่ต้องทำไปมากกว่านี้แล้ว    จะขอยกเรื่องหนึ่งมาอธิบายเพิ่ม

พระไตรปิฎก (  พระสุตันตปิฎกเล่มที่  ๑๘  หน้า  ๘๘ พระพาหิยะผู้เป็นเลิศในทางสำเร็จเร็วที่สุด )
   เมื่อครั้งอดีตพระพุทธองค์บิณฑบาตอยู่ พระพาหิยะได้ขอฟังธรรมจากพระพุทธองค์    และพระพุทธองค์ก็ตรัสว่า เมื่อตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส กายได้สัมผัส ใจได้คิดนึก   สักแต่ว่าเห็น   สักแต่ว่าเห็น  สักแต่ว่าได้ยิน  สักแต่ว่าได้กลิ่น  สักแต่ว่าปรุงแต่ง  สักแต่ว่าร้อนหรือเย็น  สักแต่ว่านึกคิด   ไม่มีตัวตน บุคคล  เรา  เขา      พึงไปยึดสิ่งต่างๆ ได้เลย เมื่อฟังและพิจารณาตาม  ก็ตัดขาดด้วยปัญญายิ่ง โสดาบันถึงพระอรหันต์จบในคราวเดียว ผู้เป็นเลิศในทางบรรลุธรรมเร็วที่สุด
   นี่คือต้นกำเนิดของสิ่งต่างๆ ใจความทั้งหมดมีเท่านี้ นี่ต้นเหตุที่แท้จริง    ทั้งโลกนี้และทั้งหมด    ทุกๆ ภพ ทุกๆ กฎและพ้นกฎต่างๆ หากไม่รู้ทุกๆกฎแล้วย่อมเลือกเกิดไปในแดนต่างๆไม่ได้ การเลือกเกิดจึงเป็นความรอบรู้ ทุกๆองค์ประกอบไม่ใช่ไร้สาระแต่อย่างใดและไม่ใช่ได้มาเพราะศึกษาพระไตรปิฎกเท่านั้น ยังต้องเกิดมาพร้อมกับการมองเห็นกฎต่างๆ และต้องศึกษาเฉพาะเจาะจงด้วย คือ เกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะและด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงอธิบายสิ่งเหล่านี้ได้ และพระพุทธองค์ก็ตรัสว่าเป็นกิ่งใบเท่านั้น ยังมีต้นไม้ทั้งต้นอีก สิ่งเหล่านี้เป็นการปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวะต่างๆ ถึงจะให้ขวาน แต่ก็ต้องลงมือตัดเอง   หากไม่ทำก็ไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายต่อ นี่คือคำตอบทั้งหมด ใจความทั้งหมดมีเท่านี้  อยู่ที่ใครจะมีปัญญาพิจารณาตามได้มากหรือน้อยภพ  ชาติ  กรรม  ชาตินี้ชาติหน้ามีจริงไหม จึงไม่ต้องถามให้เป็นปัญหาโลกแตกอีก   ทั้งหมดคือ  ต้นตอของทุกๆ ปัญหา และก็ตอบให้ทั้งหมดแล้ว อยู่ที่ว่าจะเลือกเองตามใจว่า  จะไปอยู่ไหน  พิจารณาตามความต้องการเทอญ