เลือกเป็นเทวดา

      พระพุทธองค์ตรัสว่า    บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทาน คือ  ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน  ที่พัก และเครื่องประทีปแก่สมณะหรือพราหมณ์ เขาให้สิ่งใด ก็หวังสิ่งตอบแทน เขาได้สดับมาว่า เทวดาทั้ง    ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึง ยามา ตุสิตา นิมมานระติ และปะระนิมมิตตะสะวัตตี สุขสบาย ต้องการจะไปอยู่กับเทวดาชั้นนั้นๆ ความตั้งใจของท่านผู้มีศีล  ย่อมสำเร็จได้   ภิกษุทั้งหลายเรากล่าวไว้สำหรับผู้มีศีล  ไม่ใช่สำหรับผู้ทุศีล        เลือกเป็นเทวดาทั้ง    ชั้น  คือ การรักษาศีลและการให้ทานนั่นเอง ทานจากน้อยไปหามาก จะเรียงลำดับได้ดังนี้
    อานิสงฆ์การให้ทานจากน้อยไปหามาก
 ๑.  การให้ทานแก่สัตว์ทั้งหลายมีผลน้อยกว่าการให้ทานแก่มนุษย์
 ๒.  การให้ทานแก่มนุษย์ทุศีลมีผลน้อยกว่าการให้ทานแก่ผู้มีศีล ( ศีล ๕, ๘ , ๑๐ , ๒๒๗ , ๓๑๑ ข้อ )
 ๓.  การให้ทานแก่พระภิกษุสงฆ์เป็นนิต มีผลน้อยกว่าการสร้างวิหารถวายสงฆ์ ทั้ง    ทิศ
 ๔.  การสร้างวิหารถวายสงฆ์ ทั้ง    ทิศ  มีผลน้อยกว่าการถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
 ๕.  การถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีผลน้อยกว่าการสมาทานศีล ๕ ( ถือศีล ๕ )  
 ๖.  การสมาทานศีล ๕ มีผลน้อยกว่า การออกบวชประพฤติพรหมจรรย์
บุญกิริยาวัตถุ  ๘ ประการ  ( การบำเพ็ญบุญเพื่อให้เกิดอานิสงฆ์ )
๑.  ของที่สะอาด                                 ๕.  เลือกให้
๒.  ประณีต                                        ๖.  ให้เป็นนิต
๓.  ตามกาล                                       ๗.  กำลังให้ทำจิตให้ผ่องใส
๔.  สมควร                                          ๘.  ครั้นให้แล้วก็ดีใจไม่รู้สึกเสียดาย
ทาน      ประการ
๑.  บุคคลให้ทานเพราะประสบเข้า
๒.  บุคคลให้ทานเพราะความกลัว
๓.  บุคคลให้ทานเพราะเขาได้ให้แก่เราแล้ว
๔.  บุคคลให้ทานเพราะเขาจักให้แก่เรา
๕.  บุคคลให่ทานเพราะการให้เป็นการดี
๖.  เราหากินได้  ท่านเหล่านี้หากินเองไม่ได้
๗.  กิตติศัพท์  ความงาม  ย่อมขจรไป
๘.  ประดับ  ปรุงแต่งจิต  สมถะและวิปัสสนากรรมฐาน  เพราะการให้ทานจิตย่อมผ่องใส อ่อนโยน ปิติ เหมาะแก่การเจริญพระกรรมฐาน
    การทำบุญหรือบาปล้วนมีขอตเขตหรือกำลังหรืออายุของเหล่าเทวดา ผู้คนสงสัยในทานต่างๆ ว่าเป็นยังไง ทำยังไง ถึงจะได้ผลมากน้อย  ผลของทานต่างๆ ล้วนมีลำดับขั้น ไม่ใช่ไม่มี เมื่อเรียงลำดับจะเปรียบเทียบได้ว่า “ พระพุทธองค์ ”  ยกย่องศีลมากกว่าทาน ให้ผลได้มากกว่า  การรักษาศีล คือ ทานอันเลิศที่สุด  การเป็นเทวดายังต้องมาเวียนเกิดเวียนตายเมื่อหมดบุญ ก็ต้องไปเกิด แล้วแต่กรรมดีเลวที่สั่งสมมา ผลของการให้ทาน รักษาศีล ยังส่งผลให้เกิดเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ร่ำรวย เพราะเหตุแห่งการให้ทานนั้น แต่คนรวยก็พิการ เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงต่างๆ เพราะไม่รักษาศีล  การรักษาศีลจึงสำคัญกว่าทาน  มนุษย์ผู้ต้องการเลือกเกิดทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ  สุขสบาย  ผู้มีปัญญาควรมองศีลสำคัญกว่าทาน  คือ เรียงลำดับใหม่ ให้รักษาศีลก่อน แล้วเลือกให้ทาน  แล้วปฏิบัติธรรมก็ง่าย บุญกุศลต่างๆ ส่งผลเต็มที่ เกิดใหม่จะสมบูรณ์พร้อมทุกๆ องค์ประกอบ ทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติ  ความทุกข์ต่างๆ ในโลกหมดสิ้น ความร่ำรวย ยากจน ไม่ทำให้พ้นทุกข์ไปได้ แต่ปัญญามองโลกต่างหาก เป็นแสงสว่างนำทางในความมืด  มนุษย์เกิดมาร่ำรวยมากๆ ก็ทำผิดได้ง่าย เพราะเหตุแห่งการเห็นผิด ไม่พิจารณาตัวเองว่าสิ่งที่ได้มานี้ไม่ใช่โชคหรือวาสนาแต่เป็นทานที่บริสุทธิ์  เห็นผิดเบียดเบียนผู้อื่นได้ง่าย สุดท้ายลงเอยที่สัตว์เดรัจฉาน จะมีสิ่งใดยืนยันได้ในโลกนี้ว่า เราจะไม่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พิการ เจ็บป่วย  เป็นโรคร้ายแรงต่างๆ   “ การรักษาศีล ” ยืนยันได้  “ พระพุทธองค์ ”  และเหล่าผู้ปฏิบัติยาวนานกว่าสองพันกว่าปี มีประมาณเท่าไหร่  มากมายจนนับไม่ถ้วน  ช่วงหนึ่งชีวิตแม้ตั้งใจรักษาศีลเพียงวันเดียว  ก็จะสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าเราเป็นมนุษย์แน่นอน หรือตั้งใจปฏิบัติธรรมแค่วันเดียว  ยังมีคุณค่ามากกว่า  มนุษย์ที่เกิดมาทั้งชีวิตมองไม่เห็นอะไรเลย “ พุทธองค์ตรัสว่า ”  ชั่วชีวิตมนุษย์คนหนึ่งแม้เพียงปฏิบัติธรรมเพียงวันเดียวยังมีคุณค่ามากกว่ามนุษย์ที่เกิดมาปล่อยตัวไปวันๆ ไม่ทำอะไรทั้งชีวิต โลกยุคนี้ผู้คนเห็นผิดเป็นจำนวนมาก ไร้ปัญญามาก ผลต่างๆ ที่ตามมาจึงมีมาก   ดังจะเห็นได้ง่ายๆ พระวินัยของสงฆ์นั้นแม้แต่มองก็ผิด จับต้องอิสตรีไม่ได้ ไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้าผิดหมด สำหรับภิกษุผู้ทรงพระวินัยแม้แต่เดินตลาดก็ไม่ได้ ที่เห็นเรี่ยไรตามที่ต่างๆ เดินเล่นตามตลาดสนุกสนานตามห้างต่างๆ นั้น ผิดทั้งหมด เรื่องต่างๆ เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยพุทธกาล พระวินัยสงฆ์จึงมีถึง  ๒๒๗  ข้อ และผู้เห็นว่าการทำบุญกับพระภิกษุนั้นได้ผลมากจึงทำมาก มีลาภสักการะมาก เห็นคุณค่าของวัตถุมากกว่าการปฏิบัติธรรมที่เป็นแก่นแท้ของศาสนา
  พระพุทธองค์ตรัสประโยคหนึ่งกับภิกษุว่า “ ท่านทั้งหลายพึงเป็นธรรมทายาทแห่งเราเถิด อย่าเป็นอามิสทายาท( ลาภต่างๆ ) ของเราเลย ” การรักษาศีลนั้นยืนยันได้แน่นอน ผู้รักษาศีลมั่นคงดีแล้ว จึงปฏิญาณกับตัวเองได้ว่า อบายภูมิ ๔ สิ้นแล้ว เป็นได้เพียงมนุษย์  เทวดา  พรหม คือ เหล่าพระโสดาบันขึ้นไป สำหรับผู้มีปัญญาควรปรับทัศนคติ ความเชื่อใหม่ ให้ศีลสำคัญกว่าทาน คือ เรียงลำดับใหม่  รักษาศีล ให้ทาน และเจริญภาวนา นี่คือ ทางเลือกเป็นเทวดา ผู้คนเหล่านี้จึงเป็นเทวดาเดินดิน  ก้าวขาข้างหนึ่งไปสู่ความสุขสบายแล้ว ผู้มองเห็นแบบนี้ย่อมไม่มีทางตกต่ำ แม้จะยังไม่ถึงขั้นพระโสดาบัน แต่ก็ยืนยันได้แน่นอนว่าจะไม่ทุกข์ทรมาน จากเหตุต่างๆ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
บทสรุป  
    การเลือกเป็นเทวดา คือ มนุษย์ที่รักษาศีล ให้ทานและเจริญภาวนา  เป็นผลจากมนุษย์ผู้เลือกแล้ว  อยากไปอยู่ชั้นไหนก็รักษาศีล  ทำบุญมากๆ บุญต่างๆ  ตามลำดับก็เรียงลำดับแล้วทั้งเหตุทั้งปัจจัยจากน้อยไปหามาก บุญหรือบาปล้วนส่งผลมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ทำ
ข้อคิด พิจารณาดูตัวเองว่าเป็นเทวดาเดินดินหรือเปล่า หากตอบว่า เรา คือ เทวดา คุณก็คือเทวดาเดินดินนั่นเอง