ความตั้งใจของผู้เขียน


ประวัติและความตั้งใจของผู้เขียน
      ก่อนเริ่มเขียนประวัติ เรื่องราวต่างๆ ของตัวเอง  ต้องขออภัยผู้อ่านทั้งหลายว่า     ผมจะไม่ใช้นามจริงจะมีเพียงประวัติที่อธิบายเรื่องราวต่างๆ รูปร่งหน้าตาเป็นยังไง เป็นพระหรือฆราวาส ผมเป็นใครมาจากไหนจึงอธิบายเรื่อวราวต่างๆ ได้มากมายขนาดนี้       ให้พิจารณาด้วยปัญญาและเหตุผลที่อธิบายอย่ายึดตัวตน บุคคลว่ามาจากไหน  ให้พิจารณาให้เกิดปัญญาในด้านต่างๆ และการปฏิบัติจะดีกว่า
เกิดมาบนโลก   
  ผมเกิดมาเป็นลูกชาวนาจนๆ คนหนึ่ง  ซึ่งมีความยากลำบากในการดำเนินชีวิต  มีชีวิตอยู่เหมือนเด็กบ้านนอกทั่วไป ชีวิตน่าจะอยู่แค่นั้น  เกิดมาแล้วตายไป  แต่ผมกลับแตกต่างจากคนทั่วไป  คือ มองเห็นกฎต่างๆ บนโลกและมีคำถามต่างๆ มากมายตามมา เมื่อผมไปวัดตอนเด็ก ผมเห็นรูปพระโพธิสัตว์  ๑๐ ชาติ ผมรู้ตัวเองทันที ว่าผมคือ โพธิสัตว์จุติ  มันเกิดมาเองโดยไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น  เด็กน้อยคนหนึ่งรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กแต่บอกใครไม่ได้ มองเห็นกฎต่างๆ บนโลกผิดเพี้ยน จากความไม่เข้าใจ ว่าทำไมโลกนี้คนถึงไม่เท่าเทียมกันมี หล่อ  สวย รวย จน พิการ มี คนสัตว์ต่างๆ      ผมมองเห็นได้แม้กระทั่งความคิดของคนอื่น แต่บอกใครไม่ได้  คล้ายกับรู้ตัวว่าเป็นความลับนะ  หากบอกหรือถามใครเขาคงหาว่าบ้า    วันหนึ่งเด็กน้อยคนนี้นั่งจ้องมองหมาตัวหนึ่ง  จ้องลึกเข้าไปเรื่อยๆ เห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในร่างนั้น จ๊าก  ผีหลอก อะไรวะ    กลางวันแสกๆ ผีมาไง  ผมมานั่งพิจารณาว่าไม่ใช่ผีนี่นา  แล้วทำไมจึงเห็นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง   ทั้งๆ ที่มันเป็นหมาตัวเมีย มันต่างกันตรงไหนระหว่างคน สัตว์ต่างๆ ก็ไม่เห็นต่างกัน      แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้นที่เปลี่ยน แต่จิตก็ดวงเดิมนี่นา แล้วอะไรเป็นเหตุให้คนกลายเป็นสัตว์ต่างๆ   ตอนนั้นก็คิดไปเรื่อยๆ   และเก็บความสงสัยของเด็กไว้     วันหนึ่งเดินไปทุ่งนาผ่านวัดที่บ้านตรงนั้นเป็นต้นโพธิ์ใหญ่ มีแสงสะท้อนเข้าตาแว๊บๆ หันขึ้นไปมอง   อะไรละนี่    แสงตัดกันเป็นรูปคนนั่งอยู่บนบัลลังค์ตอนเด็กก็ดูหนังจักรๆ วงค์ๆ บ่อย      ในใจ ก็คิดว่าเทวดา เอ๊ะ!!  เทวดามีจริงหรือนี่  หรือตาฝาดไปเอง  ผมยืนเอามือกอดอก     แล้วก็พิจารณาว่าแสงสะท้อนหรือเปล่านะ แสงสะท้อนทำไมเคลื่อนไหวได้ มี    มือ มีเส้นตัดกันเป็นรูปชัดเจน  จ้องมองผม ผมก็ยืนมองยิ้มให้แล้วก็ค่อยจางหายไปนานเหมือนกัน  แล้วก็คิดว่า เทวดา รำพึงออกมาว่าแล้วอะไรหนอเป็นเหตุ ให้มีเทวดาทั้ง  คน  สัตว์  เทวดา   คนรวย คนจน พิการ หล่อ สวย  เจ็บป่วยต่างๆ ทุกสิ่งเป็นกฎนี่นาทำไมถึงเป็นกฎแบบนี้  ใครเป็นคนสร้างทำไมไม่สร้างคนให้เท่าเทียมกันเพราะอะไร  แล้วทำไมคนอื่นๆ ถึงมองไม่เห็นนะมีเราคนเดียวที่คิดว่ามันผิด  แล้วเราจะแก้ไขสิ่งต่างๆ ยังไง  เกิดเป็นความสงสัยต่างๆ เรื่อยมา  แล้วก็ไปยืนมองคนทะเลาะกัน ใจก็คิดว่าทำไมเขาทะเลาะกันนะ  เพราะอะไร  แล้วก็ได้รู้ว่าเพราะเสียงนะ เสียงกระทบเข้าหู จึงโมโห ทะเลาะกันแล้วมาพิจารณาทำไมคนจึงมีโกรธ  มีโลภ  มีหลง  เพราะอะไรเป็นเหตุ  พิจารณาแยกองค์ประกอบเพียงลำพัง  นี่คือความคิดของเด็กตอนนั้น  น่าจะสักราวๆ ๗  ขวบเห็นจะได้  ก็คิดว่าการกระทบของสิ่งสองสิ่ง  ตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น  ลิ้นได้รับรส  กายได้สัมผัส  แล้วใจก็ได้คิดนึกไปเองเกิดเป็นโลภบ้าง  โกรธบ้าง  หลงบ้าง     แล้วก็คิดมาว่าทำยังไงถึงไม่ต้องมีสิ่งสกปรกเหล่านี้  ไม่เห็นจะดีเลย  ไม่เห็นจะสะอาดตรงไหนเลย  คนทั้งหลายเขาไม่เห็นหรือไงนะว่ามันสกปรก      มันเกาะอยู่ที่ใจเหมือนปลิงเลย       แล้วก็มองเห็นความเหมือนของสัตว์ต่างๆ เปรียบเทียบดู  อารมณ์  โลภ  โกรธ  หลง  เข้ากันได้ หากเรามีก็เป็นหมานนะสิ  เราไม่อยากเป็นหมานี่นา ตอนนั้นก็คิดพิจารณาไปเรื่อยๆ ตามความสงสัย  ของเด็กคนหนึ่งถูกผิดไม่รู้  รู้แต่ว่าเห็นอธิบายไม่ได้ว่าเห็นยังไง     เห็นเอง  ไม่รู้ว่าคืออะไรด้วย        พิจารณาไปเรื่อยๆ เมื่อไม่อยากมีโลภบ้าง โกรธบ้างหลงบ้าง  เหมือนหมาหรืองู    สัตว์ต่างๆที่เรากิน  เหมือนคนที่มีสิ่งนี้อยู่  ต้องทำยังไงบ้าง   ตอนเด็กก็ไม่มีอะไรมาก  เห็นหมา งู สัตว์ต่างๆ โดรทรมานทุบตีจนตาย      ก็แค่ไม่อยากเป็นแบบนั้นเด็กเนาะจะเอาอะไรมาก  ก็คิดได้แค่นั้น  คิดไปคิดมาก็คิดออกว่าเมื่อมีการกระทบกันก็เกิดขึ้น หากกระทบแล้วว่างเปล่าละ  เย้ ! คิดออกแล้วโว้ย  คิดมาได้ตั้งนานง่ายๆ แค่นี้        ควบคุมมันได้ก็จบ  อยู่ด้วยความว่างเปล่าแบบนี้แหละตลอดชีวิต       โลกนี้ไม่มีอะไรทำแล้ว  ดูเถอะเด็ก  ๗ ขวบคดพิจารณาไปเรื่อยๆ ตามเหตุผลที่มองเห็นไม่มีอะไรมากเลย       ไม่มีใครสอนหรือบอกก็คิดได้เอง  ตั้งแต่นั้นก็มองตัวเองเรื่อยมาพยายามไม่มีมันมากที่สุด  และไม่เข้าใกล้คนที่มีสิ่งนี้มากๆ มันเหมือนเห็นสิ่งสกปรกในตัวคนอื่น  เห็นคนอื่นสกปรกด้วยประการต่างๆ มากมายหมักหมมด้วยปฏิกูล            เริ่มแยกได้ระหว่างคนทั่วไปกับสัตว์ในร่างคน ถ้าอยากรู้ก็รู้แม้กระทั่งความคิดของผู้อื่น        สิ่งที่เด็กน้อยสัมผัสรุนแรงมาก  แค่ตามองแยกสิ่งต่างๆ ได้ มีความคิดไม่เหมือนคนอื่น  หากคิดสิ่งใด แล้วจบไม่ลง        ก็จะคิดไปเรื่อยๆ ว่าทำไม  อะไร อยากรู้ทุกสิ่งไปหมดเข้าใกล้ใครไม่ได้คิดไม่หยุด           เด็กน้อยเริ่มแยกตัวไปอยู่ลำพัง  นั่งนอนในที่ที่ไม่มีคนอื่น  อยู่คนเดียวไม่คบเพื่อนฝูง  รู้สึกว่าอยู่คนเดียวในโลกและคิดว่าโดนคำสาปให้เห็นหรือไงนะ   แต่ฟ้าก็ยังประทานความว่างมาให้ให้มีปัญญามองเห็นความว่างเปล่า          ก็อยู่แบบนั้นเรื่อยมาจนโต  ได้มาทำงานที่กรุงเทพ     ยิ่งคนมากยิ่งเห็นมากผมไปยืนอยู่บนสะพานลอยและตึกสูงๆ   เฝ้ามองผู้คน  ผมรู้จิตใจของทุกๆ คนว่าคิดอะไร      บางครั้งผมก็คิดว่าคิดไปเอง  แต่ก็ไม่เคยผิด  ใครดีเลวรู้หมด  ผมคิดว่าทำไมเราถึงรู้และสิ่งที่รู้คืออะไร  ผมเริ่มศึกษาหาความรู้ ตามที่ต่างๆ ห้องสมุด หนังสือต่างๆ    มีความอยากรู้ทุกเรื่องบนโลกใบนี้  แล้วผมก็เข้าใจว่าผมรู้ใจคนอื่นตั้งแต่    ขวบ  จิตของผมไวต่อสิ่งต่างๆ มาก  เป็นความรู้ในองค์ของปฏิจฺจสมุปบาท  ดังอธิบายไป เกิดโดยธรรมชาติและเกิดยากมากเป็นบุญบารมีที่สั่งสมมา    และมีปัญญามากรู้ได้เองตั้งแต่เด็ก ผมเริ่มศึกษาเรื่องราวต่างๆ อ่านหนังสือมากมายมีเพื่อนเป็นหนังสือ      อ่านหนังสือธรรมะและหนังสือต่างๆ ในห้องสมุดทั้งหมดแสวงหาคำตอบในสิ่งต่างๆ ของคำถามในใจ  ตั้งแต่เด็กทำไมคนเราจึงไม่เหมือนกันพิการ  ยากจน หล่อ สวย  ร่ำรวย อยู่ในสังคมที่เสื่อมโทรม สังคมดีอะไรเป็นเหตุ  และทำไมจึงมี คน สัตว์  เทวดา  ภูตผีหรือวิญญาณ       กฎต่างๆ บนโลกที่มองเห็นคืออะไร  จะแก้ไขยังไง  เพราะอะไร  แล้วผมก็ได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งว่า มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้  แล้วผมก็ได้คำตอบของเรื่องทั้งหมด  เพราะมนุษย์คิดว่าตัวเองเลือกเกิดไม่ได้ ทั้งที่เลือกอยู่ตลอเวลา  ภพต่างๆ ล้วนมาจากมนุษย์  มนุษย์ไม่รู้ว่าต้องเลือกยังไงต่างหาก  ผมอ่านพระไตร-ปิฎก  ทั้ง  ๔๕  เล่ม  ผมเข้าใจปัญหาและทางออก  ของเรื่องทุกๆ อย่าง ความแตกฉานของผมนั้น สามารถดึงขึ้น แยกองประกอบของสิ่งต่างได้  เข้าใจภาษา  อธิบายโดยใช้ภาษาง่ายๆ หรือยากก็ได้หมด หากมนุษย์ผู้ใดคิดว่าตัวเองฉลาดในธรรม  ผมก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้ใดเลย     ตั้งแต่อายุ    ขวบ  ผมก็รู้มากกว่าเด็กทั่วไปแล้วแยกได้ตั้งแต่เด็ก  จะมีสักกี่คนบนโลกทำได้เหมือนผม ผมปฏิบัติธรรมต่างๆ วิชากรรมฐานต่างๆ ทั้ง  ๔๐  กอง  ผมปฏิบัติทั้งหมด  แยกองค์ประกอบตั้งแต่เริ่มต้นมาจากไหน    ใช้ยังไง  มีอารมณ์แบบไหน ปรับใช้กับบุคคลระดับไหน  ศึกษาปฏิบัติผมไม่มีอาจารย์สอน         อาจารย์ผมมีเพียงพระพุทธองค์เพียงผู้เดียวผมฝึกถึงระดับสูงสุดกว่าจะผ่านไปได้แต่ขั้นนั้น  ต้องใช้การพิจารณาและแยกปรับคิดค้น ปฏิบัติ          จนมีความสามารถทั้งสมถะและวิปัสสนา  ผมแยกจิตออกจากกายไปต่อกรกับผู้ทรงปัญญา        ดินแดนแห่งพรหม  นอกจากพุทธบุตรด้วยกันเองแล้ว      ผมไม่ชอบพวกนอกศาสนาที่บังอาจมาลบหลู่พระอาจารย์ของผม     กล้าถึงขั้นประกาศตัวในดินแดนแห่งพรหมทั้งหลายว่า  เราคือ พุทธบุตรโพธิสัตว์          หากพรหมองค์ใดนอกศาสนาคิดว่าตัวเองแน่แล้ว    มาประลองกำลังได้ ทั้งปัญญาและฤทธาเราไม่หนีใครไม่มีใคร  กล้าต่อกร  เที่ยวเล่นไปทั่ว  แต่ก็เคารพรักพุทธบุตรทุกท่านมากไม่ถือตัว  ไปเจอชายชรานุ่งขาวห่มขาวอยู่ในดินแดนพรหม     มีเสียงบอกผมว่านั่นคือ ท้าวมหาพรหม ผมกราบทันทีโดยไม่ลังเล แต่กราบได้ครั้งเดียวท่านยกมือห้ามแล้วบอกว่าเมื่อเจ้าบำเพ็ญเพียรจนจบอายุไขยเจ้าจะได้เป็นพระอินทร์          แล้วจากไปผมก็คิดว่า จะไปเป็นทำไมพระอินทร์เป็นพรหมดีกว่า    ผมรู้ทุกๆ เส้นทางบนโลกนี้และโลกหน้า      ทั้งทางเดินแห่งเทพเจ้าต่างๆ  โพธิสัตว์ต่างๆ เข้าใจทุกๆ กฎ ผมเลือกทางที่เป็นหนึ่งในโลก
ละทิ้งทุกอย่าง
        เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรทำ ก็คิดว่าแดนนิพพานอยู่ไหน    ก็พิจารณาองประกอบต่างๆ ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์เปรียบเทียบตามพระไตรปิฎกและอาจารย์ทั้งหลายเขียนว่าคืออะไร   ทั้งสมัยพุทธองค์อยู่และปัจจุบันต่างกันมากเพราะอะไร      ค่อยไล่ไปทีละอย่างจากพระวินัยปิฎก   พระสุตตันตปิฎก       จนถึงพระอภิธรรมปิฎก  แล้วก็เปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ทั้งแยกทั้งปรับ รวมสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่การมองเห็นกฎต่างๆ ตั้งแต่เด็กว่าคืออะไร  ความสามารถทางจิตที่มีมาแต่เกิด จับโน่นใส่นี่ ยกโน่นใส่นี่  หากถามว่าทำได้ยังไงก็บอกไม่รู้  อธิบายไม่ได้มันเกิดขึ้นมาเองเหมือนตอนเด็ก  รู้ได้เอง ผมจับสิ่งต่างๆ มารวมกัน  แต่รวมเฉพาะความรู้และมีเหตุผล คือ   อ่านมาถูกต้องศึกษาทั้งหมดก่อนขั้นแรกสอนปฏิบัติถูกต้อง   ปฏิบัติมาทุกสาย  ผมได้รวบรวมรู้ทั้งหมดและแยกองค์ประกอบทั้ง    ส่วน  ออกมาผมได้คำตอบทั้งหมดตั้งแต่เด็ก  คือ ๓  มนต์นี้      ๑. มนต์เลือกเกิด    ๒.  มนต์ปราบมาร  และ      ๓.  มนต์รักษา          มนต์เลือกเกิดคือกิ่งใบ  มนต์ปราบมาร คือการปฏิบัติ  มนต์รักษาคือช่วยเหลือ       ต้องขอบอกว่ามนต์เหล่านี้เป็นภูมิความรู้ของผมโดยเฉพาะ  หมายถึงตัวผมทั้งหมด  คือ ชีวิตทั้งชีวิต  ผมได้มายากแสนยากในบางครั้ง          ต้องทิ้งทั้งชีวิตเพื่อให้ได้มา  ริ้วรอยแห่งการปฏิบัติที่สาหัส  บางครั้งต้องอธิษฐานว่า  หากข้ามไปไม่ได้จะตายอยู่ตรงนี้  แม้เพียงมนต์เดียวคือ   มนต์เลือกเกิด    หากมนุษย์นำไปใช้จะช่วยมนุษย์ได้ทั้งโลก และเป็นที่อัศจรรย์ของโลก และผมได้พบกับอาจารย์ คือ พระพุทธองค์และถามผมว่าอยากรู้อะไรจะตอบให้       ผมได้ถามว่าคำว่าเต็มหรือปรมัตบารมีคืออะไรครับ  พุทธองค์ถามผมว่าแล้วเจ้าคิดว่ายังไงละคำว่าเต็มของผมนั้นคือ  การบริจาคทั้งหมด  โดยไม่ยึดถือสิ่งใดไว้ เหมือนพระอาจารย์ตอนเสวยชาติเป็นพระเวสสันดร      ท่านอาจารย์ตอบผมว่ามนุษย์ทั้งหลายเข้าใจผิด คำว่าเต็มหรือปรมัตบารมีนั้นคือ  ทานบารมีตอนพระเวสสันดร  แต่เป็นอุเบกขาปรมัตบารมีต่างหาก   คือ ชาติใดที่มีความวางเฉยในสิ่งทั้งหลายไม่ว่าใครถวายทานก็วางเฉยหรือจะทำร้ายก็วางเฉย  การอยู่เหนือทั้งสองด้าน คือ อุเบกขาปรมัตบารมีเจ้าก็ค้นพบแล้วไม่ใช่หรือ  เข้าใจละ ( ผมไม่รู้ว่าใครเข้าใจหรือไม่แต่ผมก็เข้าใจ )    จึงถามต่อไปว่า  แล้วโพธิสัตว์มากมายจะรู้ได้ยังไงว่าแท้ว่าเทียม      พระอาจารย์ตอบว่า  ไม่มีแท้หรือเทียมหรอก  พระโพธิสัตว์ก็แท้ทั้งนั้นแหละ   เพียงแต่มี    ขั้นเท่านั้นเอง   รวมความแล้วก็คือ พระโพธิสัตว์ต้องสอนผู้คนให้รักษาศีลนั่นเอง  หากผิดไปจากศีลแล้วคือผู้ลวงโลก     นี่คือสิ่ง ที่ผมคาใจ  คืออยากถามแต่ไม่มีใครตอบได้  ไม่รู้จะถามใคร  จะถูกหรือผิดอย่างไร  ใคร่ครวญดู  แต่ก็เข้าใจเองไม่สงสัยอะไรแล้ว  มีคำถามเดียวตั้งแต่เด็กที่อยากรู้เที่ยวแสวงหาไปทั่ว  เพราะเพียงอยากรู้สิ่งนี้  แม้แต่ไปถึงแดนนิพพานแล้ว  แต่ก็เข้าไปอยู่ไม่ได้  ไปดูๆ และออกมา        เพราะอารมณ์ใกล้ๆ กัน  และผมก็ถามคำถามสุดท้ายว่า  หากผมจะสอนผู้คน  ผมจะสอนยังไง ใครเขาจะเชื่อ       พระอาจารย์ตอบผมว่า  ก็ใช้ใจสอนสิ ใจที่ อยากช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์  ใจที่บริสุทธิ์  ขอเพียงใช้ใจสอน  ผู้คนจะรับรู้ได้เองว่าเจ้าคือใคร  ผมหมดคำถามในใจ     พระอาจารย์ก็บอกว่าหมดคำถามแล้วใช่ไหม    ลาก่อน แล้วก็กำลังจะไป  ผมถามว่าพระอาจารย์ไปไหน  ผมจะไปด้วย  ไม่เอาละ  ผมจะไปแดนนิพพาน     พระอาจารย์ห้ามผมว่าเจ้าไปไม่ได้     เจ้าต้องอยู่ก่อน เพื่อมนุษย์ทั้งหลาย ประโยคสุดท้ายกล่าวกับผมว่า   พระอาจารย์อยู่ในตัวเจ้า  เจ้าคือ เรา เราคือเจ้า    แต่ ณ  ที่นี้จะรวมกันไม่ได้ อยากรู้เรื่องอะไร  ก็เข้าไปถามในตัวเจ้า  ชีวิตผมร้อยทั้งร้อยเขาก็หาว่าบ้าทั้งนั้น  จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่า  ผมอยู่เพียงเพื่อช่วยผู้อื่น  แม้จะอยากไปสักแค่ไหน  ก็ไปไม่ได้      และผมก็ทิ้งทุกอย่าง ทุกๆ ชื่อต่างๆ
ออกบวช
    ตั้งแต่บัดนั้นก็ออกบวช  สู่ร่มกาสวภักดิ์  ก่อนบวชผมอธิษฐานว่า        ขอให้ได้ชื่อที่เหมาะสมกับผมด้วยเทอญ  บวชเหมือนชาวนาทั่วๆ ไปตามชนบท  และได้นามจากพระอุปัชฌาว่า  กันตะสีโล  นามนี้คือ นามที่ผมอยากได้  และอีกชื่อที่ตามมาว่า        วิหกขาวก็คือชื่อเดียวกันลงเอย คือ      พุทธบุตรโพธิสัตว์  นามนี้มีความหมายในใจของผมว่า พุทธองค์ประทานนามนี้ให้ผมว่า      เธอมีศีลขันธ์ที่เป็นไปในชาติอริยะนี้       มีจีวรพอคุ้มร่างกายบิณฑบาตพออิ่มท้อง               เธอจะไปในที่แห่งใดก็ได้เหมือนนกที่บินไปมีเพียงปีกเป็นภาระ เรื่องราวชีวิตต่อจากนี้            จะอธิบายเพื่อปัญญาของท่านทั้งหลาย        จะได้รู้จักการกระทำต่างๆ        เพื่อประโยชน์และความรู้ในพระพุทธศาสนาและกิจธุดงค์  มีเหตุผลต่างๆ 
พระบ้าสอนพระบ้า 
         ก่อนจะบวชก็มีน้องข้างบ้านบวชตาม  ทีแรกกะว่าจะบวชคนเดียวเงียบๆ  เมื่อบวชแล้วก็เหมือนภิกษุทั่วๆ ไป  แต่ผมปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิทุกวัน คือ  ตื่นตีหนึ่งนั่งสมาธิจนถึงเช้า  และออกบิณฑบาต    ทำทุกวัน อยู่เงียบสงบแตกต่างจากพระบวชใหม่ทั่วไป    และศิษย์คนแรกคือ น้องข้างบ้านที่บวชตามมา   ซึ่งมีปัญหาทางสมอง  เมื่ออยู่กันตามลำพังผมก็ถามว่า ที่น้องเป็นแบบนี้เพราะน้องทำผิดทั้งสามอย่างนี้ใช่ไหม  ไม่ต้องบอกก่อนจะอธิบายให้ ฟัง   นั่งสมาธิในที่มืดและที่ไม่เหมาะสมใช่ไหม  ผิดคือผิดถูกคือถูกตอบมา  เขาตอบว่าใช่    และอย่งที่สองคือ ไม่สวดมนต์ก่อนใช่ไหม  อยากนั่งสมาธิที่ไหนก็นั่งใช่ไหม   เขาตอบว่าใช่และถามต่อไปว่าแล้วตอนนั้นคิดแบบนี้ใช่ไหมคืออยากรู้ใจคนอื่น  อยากรู้ว่าคนอื่นคิดยังไง  โดยเฉพาะผู้หญิงใช่ไหม เขาตอบว่าใช่อีก    แล้วน้องก็ย้อนถามว่ารู้ได้ยังไง     ผมก็ตอบไปว่าร้อยทั้งร้อยถ้าฝึกแบบนี้  ไม่รอดสักรายโดยเฉพาะยังมีจิตใจโลเลไม่มั่นคง  พระพุทธองค์ก็เคยห้ามฝึกสมาธิแบบนี้  หากผู้ใดฝึกจะเป็นแบบนี้     คือ นั่งในที่มืด  จิตจะดิ่งลงสู่สมาธิอย่างรวดเร็ว  ควบคุมไม่ได้     ในถ้ำสุกรนั้นพระพุทธองค์ยังเคยห้ามพระสารีบุตรไว้เลย  ไม่สวดมนต์ก่อน  จิตจะไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวไว้            และอยากได้โน่นได้นี่อีกไปกันใหญ่เลย  นี่เรียกว่าสายดำถ้าเจอก่อนจะห้ามไว้จะไม่เป็นแบบนี้หรอก      จากนั้นก็สอนนั่งสมาธิที่ถูกต้องให้  คือ   พลังจิตรักษานั่นเอง  หากฝึกบ่อยๆ จะหายเอง  นี่เรียกว่า สายขาว  ยิ่งฝึกยิ่งสูงถึงพระนิพพาน  สายดำยิ่งฝึกต่ำแล้วก็บอกไปว่าหากจะบ้าอย่าบ้าครึ่งๆ กลางๆ หากบ้าแบบนี้มีที่อยู่  คือ  โรงพยาบาลบ้า     เห็นภูตผีปีศาจแค่นี้เป็นบ้า  หากจะบ้าจงบ้าอย่างหลวงพี่ตอนเป็นฆราวาสสิ บ้าอ่านหนังสือ อ่านทั้งห้องสมุด       อ่านการปฏิบัติทุกอย่าง  พระไตรปิฎก ยังอ่านจนเข้าใจ      บ้าอย่างที่สองคือ บ้าฝึกสมาธิ ฝึกทุกอย่างและปฏิบัติได้ ไม่ไปนรกด้วยของเด็กๆไปมันชั้นพรหมเลย  หรืออยากไปจริงก็ไปนิพพานบ้าพอหรือยัง       หากยังไม่พอไม่ต้องไปหรอก  นรกเขาไปกัน เขาเที่ยวกันจนเป็นที่เที่ยวไปแล้ว  ในโลกนี้มีสักกี่คนไหม  ที่กล้าไปภพอสุรกาย ลุยเดี่ยวด้วย บ้าพอหรือยัง  แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าบ้าของจริงละ  ทำได้ไหม  คนแบบนี้เรียกคนบ้าหรือว่าคนจริง  จบแล้วผมก็คิดได้ว่า  บุคคลทั้งหลายในโลกที่สอนผู้อื่นและผู้อื่นไม่รู้ ไม่เข้าใจ  แต่เราสอนคนบ้านั่งสมาธิได้  ในโลกนี้คงจะหาพระแบบนี้ยาก 
ฆราวาสอวดตนกับภิกษุบวชใหม่ 
         อยู่วัดก็สอนก็สอนศิษย์เรื่อยๆ ฆราวาสไม่รู้ก็นึกว่าคุยกันเรื่องไร้สาระ     แล้วมาอวดตนว่าเคยบวชมาตั้งแต่เล็กจนโตรู้หมด  ก่อนจะลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส คอยรับใช้พระชราภาพ     ก็ถือตัวว่ารู้ดีกว่าพระบวชใหม่  แรกๆ ก็ไม่ได้ใส่ใจ  แต่บ่อยเข้าก็ไม่ไหว  จึงก้มลงหยิบดินที่เท้ามากำหนึ่ง  แล้วบอกว่า  หากท่านรู้จริง ไหนลองซิ ลองอธิบายดินในกำมือผมนี้เป็นพระศาสนาสิ     เอาทั้งเบื้องต้น เบื้องกลางและเบื้องสูง  ทำได้ไหม  ถ้าทำได้จะเรียกว่าฉลาด  ฆราวาสก็ยืนอึ้งๆ ผมก็ใส่แค่เบื้องต้นเท่านั้นกก็ฟังไม่ได้  ไม่มาใกล้อีกเลยผมก็คิดว่านี้พื้นๆ นะ  ยังมีที่เอาไว้ปราบพรหม หรือโพธิสัตว์อีก  ยังมีมารอีกมากมาย     มีความรู้แค่นี้ยังมาอวดตน  นี่แค่กิ่งใบ    ถึงรู้แค่ไหนก็ใบไม้  เรารู้มากมายแต่ก็ไม่โอ้อวดตนเลย    อยู่เงียบๆ   สงบๆ อยู่ในวินัยสงฆ์  ดังคำที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้สงบ  ผู้รู้  ย่อมไม่อวดตน จนวันหนึ่งมีฆราวาสผู้เป็นลุงเคยบวชเรียนมาอีก  เข้ามาหาผม  เห็นผมนั่งสมาธิพิจารณาธรรมอยู่ก็ตะโกนมาว่านั่งสมาธิทำไม  ทำไมไม่ท่องหนังสือ ออกจากสมาธิแล้วเดินมาก็อยากจะถามสักประโยคหนึ่งว่า  พระพุทธศาสนาเกิดมาจากที่ไหน     ไม่ใช่พระพุทธองค์นั่งสมาธิใต้ต้นโพธิ์ แล้วบรรลุสัมมาสัมโพธิฌาณหรอกรึ  มนุษย์เหล่านี้ เห็นกิ่งใบเป็นแก่นสารรึ   แม้แต่ครั้งอดีตเคยมีผู้ศึกษาพระไตรปิฎกจนจบ  พระพุทธองค์ยังเรียกเถรใบลานเปล่าเลย รำพึงออกมาว่า มนุษย์ผู้แสวงหาทั้งหลาย  เห็นแค่กิ่งใบได้กิ่งใบไปเที่ยวอวดใบไม้ไปทั่ว ต้นไม้ต้นหนึ่งยังมีอีกมากมาย   ตัวเราก็นั่งมองผู้คนแสวงหาสิ่งเหล่านี้  มนุษย์บางคนได้ใบไม้ กิ่งก้าน เปลือก กระพี้เปลือกใน      น้อยนักที่จะมองเห็นแก่นและเอาแก่นไป  เราก็แค่คนดูแลป่า ก็ได้แต่บอกเขาว่าเอาอะไรไป จบเรื่องฆราวาสอวดตนกับภิกษุบวชใหม่
ภิกษุบวชใหม่กับรุกขเทวดา
      ตอนบวชใหม่ก็อยากหากุฏิอยู่ มีแค่ศาลาเป็นห้องๆ พอได้นั่งสมาธิ     ก็ใช้ผ้าเหลืองแถวๆ นั้นแหละกั้นพอไม่ให้ใครรบกวน  และมีกุฏิว่างอยู่หลังหนึ่ง  ไม่มีใครกล้าไปอยู่เพราะผีดุมาก ก็นึกได้ว่ากุฏิเขาให้พระอยู่ไม่ใช่ให้ผีอยู่  ก็หอบอุปกรณ์ไปทำความสะอาด  และเห็นยันต์ติดเต็มไปหมด       ก็รื้อยันต์และทำลายหมดนอนคืนแรกก็ได้เรื่องเลย มีเสียงคนคุยกันตั้งแต่ตีหนึ่งไม่หยุด  ไม่รู้ว่าภาษาอะไร       โดยปกติก็ตื่นดึกมานั่งสมาธิจนเช้า  ทีแรกก็นึกว่าชาวบ้านเขาปรึกษาอะไรกันก็ลงไปดู  ไม่มีอะไรก็กลับขึ้นกุฏิ     แต่ก็ยังมีเสียงคุยกันต่อ ก็เริ่มรู้แล้วว่าไม่ใช่คนแน่  ถ้ากำหนดจิตดูก็รู้ว่าพูดอะไร  แต่ก็คิดว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์    นั่งสมาธิไม่ได้คุยไม่หยุดเป็นชั่วโมง  ก็ใช้กระแสจิตตวาดไปว่า  พระกำลังปฏิบัติธรรมจะคุยอะไรกันนักหนา    ให้มันรู้เรื่องบ้างสิ    เหมือนกับจะท้าท้ายยังคงคุยกันไม่หยุด  คว้าอาวุธคู่กายคือ เบี้ยแก้วัดกลางบางแก้ว    เดินลงจากกุฏิ  มองไปว่าอยู่ตรงไหน  ต้นขี้เหล็ก  ๒ ต้นก็ไม่มี  มองไปอีก     กองกันอยู่ที่ต้นมะม่วง         ผมจึงรู้ว่าเป็นรุกขเทวดานี่เอง  มิน่าละเป็นวิญญาณชั้นสูงปกติแล้ววิญญาณธรรมดาแค่ตวาดก็แล้วเผ่นแล้ว  จึงใช้อาวุธ ตอกลงที่ต้นมะม่วง รุกขเทวดาทั้งหลายก็กระดอนออกไปอยู่ข้างทาง     แล้วก็คิดว่าใครเป็นใครให้รู้ซะบ้าง แต่ก็มีเสียงร้องเตือนว่า ท่านเป็นพระแล้วนะ  ไม่ใช่ฆราวาส          จึงถามเสียงนั้นว่า ทำไมวิญญาณชั้นสูงเหล่านี้ถึงรบกวนเราละน่าจะรู้นะ เสียงนั้นตอบมาว่า      รุกเทวดาแถวนี้เขาไม่เคยเห็นภิกษุผู้ปฏิบัติมาก่อน และท่านก็มีบารมีมาก จึงอยู่สูงกว่าท่านไม่ได้ ท่านยังจะไปไล่เขาอีก ตกลงว่าเราผิดสินะผิดก็ผิด    จากนั้นก็หาวิธีแก้ไข  ครั้งอดีตเคยมีมาก่อน ภิกษุ  ๓๐  รูป  ไปเจริญภาวนาตามป่าและถูกรบกวนต่างๆ         จากรุกขเทวดาเพราะอยู่สูงกว่าไม่ได้ กลับมาถามพระพุทธองค์      พระพุทธองค์เลยให้มนต์ปราบรุกขเทวดาคือ การอุทิศส่วนกุศลที่ได้ปฏิบัติให้เทวดาทั้งหลาย  จากคิดจะไล่ได้บุญไปก็ปกป้องรักษา  จนบรรลุพระอรหันต์ถึง   ๓๐   รูป คิดว่าเรามีฤทธิ์มากจึงปราบได้  แต่เราทำผิดเบียดเบียนผู้อื่น               พุทธบุตรย่อมเป็นผู้ไม่เบียดเบียน      เป็นผู้ให้       และเวลานั่งสมาธิก็อุทิศส่วนบุญให้และไม่มาเบียดเบียนอีกเลยและก็พิจารณา    มนุษย์ทั้งหลายเบียดเบียนกัน  ยิ่งเบียด ยิ่งทุกข์ทั้งสองฝ่าย  ไม่มีอะไรดีเลย  การไม่เบียดเบียนการเป็นผู้ให้มีแต่สุขทั้งสองฝ่ายไม่มีอะไรเสียเลย
ธรรมทายาทกับอามิสทายาท
      เมื่อบวชไปงานต่างๆ เขาก็ใส่ซองมา ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปทำอะไร  ให้วัดหรือบริจาคใส่ตู้ไป         ก็นึกไปว่า
เก็บไว้อาจมีเรื่องที่ต้องใช้  ใจก็คิดไปว่าเราไม่ใช่อามิสทายาท      ผมก็ได้มองเห็นสภาพของเหล่าภิกษุผู้เป็น
อามิสทายาท  ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย   รับเงินทองคุยกันเรื่องสมบัติต่างๆ และผิดวินัยสงฆ์ต่างๆมากมาย
ผมรู้ตั้งแต่ต้นกำเนิดว่าเป็นเพราะเหตุใด  วินัยสงฆ์จึงมีมากถึง  ๒๒๗  ข้อ  และรู้ว่าผิดวินัยข้อไหนบ้าง ครั้ง
แรกที่พระสารีบุตรขอให้พระพุทธองค์บัญญัติพระวินัยนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่าสงฆ์ทั้งหลายยังบริสุทธิ์อยู่
ที่บวชมานี้อย่างต่ำก็เป็นพระโสดาบัน         แต่ผู้คนบวชมากขึ้น  สงฆ์ทำผิดต่างๆ มาก  จึงบัญญัติพระวินัยเรื่อยมาจนถึง  ๒๒๗  ข้อ  แท้จริงแล้วหากบริสุทธิ์ คือ พระวินัยสมบูรณ์แล้ว    ภิกษุผู้เป็นอามิสทายาสเหล่า นี้    น่ารังเกียจจริงๆ ไม่รู้หรือไงนะว่าทุกข์ทรมานมาก  โลกแห่งวิญญาณนั้นเที่ยงตรง  ไม่ได้จำกัดว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส พระพุทธองค์เคยตัรสว่า มหาโจรในโลกประกาศตัวว่าเป็นโจร        ยังร้ายไม่เท่าโจรในผ้า เหลืองเพราะจิตใจไม่บริสุทธิ์ยังหลอกให้ผู้อื่นกราบไหว้     เรื่องเคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยพระพุทธองค์ ก่อนหน้านี้คือ พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า    ภิกษุลามกในสมัยนั้น       เกิดเป็นเปรตอยู่ที่เขากคิชกูดมากมาย ทุรนทุราย ทรมานมีไฟเผาตัวอยู่ตลอดเวลา      ภิกษุเหล่านี้เองทำลายพระศาสนา      ใจก็คิดไปว่าทำไมไม่ปฏิบัติธรรมบ้าง นั่งสมาธิเจริญภาวนาเป็นแบบอย่างเพื่อรักษาพระศาสนา  อย่างน้อยๆ รักษาวินัยสงฆ์บ้างก็ดี   แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  บวชมาแล้วก็ไม่มีใครดูแล ปล่อยให้ศึกษาเอง ทิ้งๆ ขว้างๆ             เพราะเหตุที่พระอุปัฌชาไม่รักษาพระวินัยข้อหนึ่ง คือ ต้องดูแลพระภิกษุบวชใหม่     หากไม่ดูแลต้องแต่งตั้งพระบวชก่อนมาดูแลให้อยู่ในวินัยสงฆ์  ปัญหาต่างๆ ตามมาคือ พระเสพยาและทำผิดต่างๆ มีมาก       การเป็นพระไม่ใช่แค่โกนหัวแล้วห่มผ้าเหลือง   แล้วก็ไม่ใช่การจัดงานใหญ่โตเพื่อโอ้อวด          เพราะเหตุแห่งพระวินัยบางข้อถูกละเลย  ศาสนาพุทธจึงอ่อนแอลงเรื่อยๆ ในใจก็คิดไปเรื่อยๆ   ว่าอะไรสมควรทำและไม่สมควรทำในการเป็นพระ  คือ  ปริยัติ  ปฏิบัติ  ปฏิเวท  สองอย่างแรกเราทำแล้ว  แต่ปฏิเวทคือ การออกธุดงค์เรายังขาด ก็ติดสินใจว่าจะออกธุดงค์  แล้วก็ระลึกถึงธุดงค์วัตร  ๑๓  ข้อ พิจารณาแยกจนเข้าใจจึงลากุฏิเพื่อเข้าป่า เงินที่ได้มาจากงานต่างๆ ก็นำไปซื้อกลดและบริขารธุดงค์  บอกลาภิกษุเจ้าอาวาสผู้ไม่รักษาพระวินัย  ทีแรกจะไปเลย ก็ระลึกขึ้นได้ว่าเป็นกฏของสงฆ์ เมื่อไปลาก็ถูกดูถูกว่า     ต้องทำบัตรพระหรือมีสิ่งที่ยืนยันต่างๆ ไม่งั้นจะถูกจับสึกหรือเจอเรื่องต่างๆ มากมาย  ในใจก็คิดว่าสมัยก่อนภิกษุยุคแรกๆ ไม่เห็นต้องใช้อะไรเลย      เราก็เป็นธรรมทายาท  ผู้บวชด้วยศรัทธา         จะกลัวทำไมและเราก็บริสุทธิ์  ศาสนานี้เป็นของพระพุทธองค์  เราคือ  พุทธบุตร   ใครจะสึกได้ให้รู้ไป           ก็ขึ้นกุฏิเก็บกวาดให้เรียบร้อย  และลารุกขเทวดาแถวนั้น ก็ได้ยินเสียงรำพันมาว่า  ท่านจะไปแล้ว    พุทธบุตรจะไปแล้ว  ต่อแต่นี้เราทั้งหลายจะไม่ได้เห็นหน้าท่านแล้ว  เมื่อได้ยินเสียงดังนั้น  ก็ให้ข้อคิดไปว่า       ท่านทั้งหลายการยึดติดสิ่งใดเป็นทุกข์ในโลก       เราจะไปทำกิจแห่งเราให้สมบูรณ์และท่านทั้งหลายอย่าไปเบียดเบียนภิกษุทั้งหลายอีกนะ      ถึงแม้จะทำผิดบ้างแต่ก็เป็นพระจะเป็นบาปติดตัวไปเปล่าๆ
ออกสู่ป่า
       และถือกรดธุดงค์  กราบลาพระพุทธรูปองค์ใหญ่และตั้งจิตว่า     นับตั้งแต่นี้เราจะโบยบินไปอย่างเสรี เราจะละทิ้งทุกอย่างเป็นธรรมทายาทโดยแท้เพื่อโปรดสัตว์และออกเดินทางสู่แดนต่างๆ มีผู้พบเห็นกลางป่า ก็ถามผมว่า หลวงพี่มาจากวัดไหน จะไปไหน      ผมตอบไปว่ามาจากความสละไปสู่ความสละ     สละแล้วบ้านเรือนเพื่อออกบวช  สละแล้ววัดวาอารามเพื่อออกธุดงค์   ให้เป็นอัศจรรย์แก่ผู้พบเห็นว่า       โลกนี้ยังมี พระธุดงค์อยู่  พบเจอผู้คนมากมายบางคนก็เห็นแปลกบอกว่าตั้งแต่เกิดมาอยู่แต่ในป่าไม่เคยเห็นพระธุดงค์ มาแถวนี้เลย ในใจก็นึกถึงกิจธุดงค์ว่าใครเป็นเลิศ  แต่ละยุคก็นึกถึงพระมหากัสสปะเถระ       ผู้เป็นเลิศทางธุดงค์คุณ  พระพุทธองค์ถามว่า ท่านแก่แล้วทำไมออกธุดงค์อยู่ พระเถระตอบว่า  จะได้เป็นที่ละอายแก่พระ หนุ่มว่ายังแข็งแรงอยู่ทำไมไม่ออกธุดงค์ และยุคนี้คือพระอาจารย์มั่นผู้รักการธุดงค์อย่างยิ่ง        และมีเวลาปฏิบัติมาก  กิจน้อยจึงบรรลุธรรมมาก  เดินทางไปเรื่อยๆ ไปบิณฑบาต        หากมีผู้ใดจะเอาเงินเอาทองใส่บาตรก็จะปิดฝาบาตรทันที  แล้วบอกว่าอาตมาไม่รับเงินทองหรอกโยม  รับได้แต่ข้าวน้ำ     ชาวบ้านก็โจทย์ขานไปว่าพระองค์นี้เป็นพระธุดงค์เคร่งครัดจริงๆ ชาวบ้านเข้าใจไปเอง     โดยแท้จริงแล้วไม่รู้จะเอาไปทำไมหากรับไปก็เหมือนรับมีดรับหอกมาแทงตัวเอง  โจรก็เยอะ หากโจรเห็นว่าพระธุดงค์มีเงินทองมาก  นั่งสมาธิอยู่ในป่าตามลำพัง       จะทำร้ายได้ง่ายๆ ไม้ท่อนเดียว ย่องๆ มาด้านหลัง ฟาดตูมเดียวกลับสวรรค์แน่นอนหากไม่รับเงินก็ไม่มีอะไร  โจรมันก็คิดว่าพระองค์นี้ไม่มีเงิน  ผ้าก็เก่าๆ บาตรใบเดียวจะทำทำไม    และก็เป็นพระผู้ปฏิบัติด้วย  โจรใดๆ ในโลกก็ไม่ทำร้าย  แค่นั้น การไม่มีอะไรจึงไร้ทุกข์  ไร้ผู้เบียดเบียน    ในป่าไม่ได้มีแค่โจรเท่านั้น  สัตว์ร้าย ภูตผีปีศาจ เทวดาเจ้าพ่อเจ้าแม่ผู้เป็นมิจฉาทิฐฐิแต่ละอย่างก็ชวนกลับสวรรค์ทั้งนั้น  ร้อยทั้งร้อยพระภิกษุที่อยู่กลางป่า  มรณภาพกลับสวรรค์เยอะ  เพราะเหตุที่ศีลขาดทะลุ     ศีลขาดนี่น่ากลัวกว่าสิ่งเหล่านั้นตั้งเยอะก็เดินทางไปเรื่อยๆ
พระแท้ พระเทียมและหวย
      แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เดินๆไปฟ้าครึ้ม เหมือนฝนจะตก ก็หาที่หลบฝนไม่มีที่จำต้องหลบ  ในกระต๊อบหลังหนึ่งซึ่งมีสิ่งของต่างๆ อยู่  ซึ่งพระพุทธองค์ห้ามไว้  แต่ก็สุดวิสัย      ถ้ามีคนอยู่ก็จะขอเขาคงไม่ว่าอะไร จึงได้อาศัยใต้ถุนกระต๊อบหลังนั้นอยู่  กระต๊อบหลังนั้นหันหน้าไปที่ถนน   ก็เห็นรถคันหนึ่งวิ่งไปวิ่งมาหลายเทียวแล้ว ก็คิดว่าน้ำเราใกล้หมดเห็นพระอยู่เขาจะมาให้น้ำหรือเปล่านะ  จู่ๆ ก็จอดรถและรีบวิ่งมาดู สีหน้าตกใจมากเป็นข้าราชการในกระทรวงหนึ่งนี่แหละ คือยังอยู่ในเครื่องแบบ        ไอ้เราก็ตกใจจะมาจับเราหรือเปล่า แล้วก็ถามไปว่ามีอะไรหรือโยม  รถผมยางแตกครับ  ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ๆ ก็แตก เปลี่ยนยางเสร็จขับมาก็เห็นหลวงพี่นั่งอยู่ อาจจะต้องการอะไรก็ได้ ก็เลยเอาน้ำมาถวาย ในใจก็คิดว่าอาตมาไม่ได้ทำนะ มาได้ยังไงมามองๆ ไม่ได้พูดอะไรถามก็ไม่ถามแล้วผมก็ถามไปว่า    เห็นอาตมาเป็นพระแท้หรือพระเทียมละ       และข้าราชการผู้นั้นก็ตอบว่าผมไม่เคยคิดเลยครับ  สักพักก็ลาไป  แล้วก็มืดลง จุดเทียนนั่งสมาธิ จู่ๆ ก็มีแสงไฟเห็นมาแต่ไกลเมื่อเข้ามาใกล้ๆ ก็สาดไฟใส่หน้าผมก็ลุกจากกรดออกมา เป็นผัวเมียคู่หนึ่งก็แปลกใจ    ทำไมส่องไฟใส่หน้าพระเห็นแค่กรดก็น่าจะรู้  แล้วมานั่งต่อหน้าก็รู้ว่าเพราะอะไร แล้วทักไปด้วยเมตตาว่า  โยมทั้งสองเห็นอาตมาเป็นพระจริงหรือพระปลอมละ  ทั้งสองทรุดทันที     กราบแล้วตอบว่าพวกผมไม่ได้คิดว่าเป็นพระปลอมเลย เมื่อเห็นหน้าหลวงพี่  แต่มาดูให้แน่ใจแล้วเล่าให้ฟังว่า   อดีตเคยมีพระธุดงค์มาแถวนี้และวัวควายของหายไปจึงมาดูให้แน่ใจ  แล้วผมก็บอกว่า  โยมทั้งสองอาตมาขออภัยที่รบกวน  ปกติแล้วจะไม่ปักกรดในสถานที่แบบนี้   ร้างคือร้างจริงๆ เมื่อถึงเช้าอาตมาจะไป  แล้วทั้งสองก็จากไป  พระแท้หรือปลอมนั้นดูง่ายมาก คือ สละและสงบ  ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเมื่อเผชิญอันตราย  ส่วนพระปลอม คือ กอบโกยและลุกลนพระธุดงค์ที่ธุดงค์เพื่อสมบัติเงินทอง  หรือปลุกเสกเครื่องรางหรือรับเงินทอง เพื่อตัวเอง ไม่ใช่กิจธุดงค์  พระแท้ คือ สละนั่นเอง  หากรับก็เพื่อประโยชน์ของหมู่ชนทั้งหลายแค่นั้นเอง  หากธุดงค์จริงๆ จะไม่รับเด็ดขาด  จำไว้ท่านทั้งหลาย  หากท่านใดธุดงค์แล้วรับเงินทอง พึงสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นผู้ลวงโลก ไม่ใช่พุทธบุตรนี่คือ พระแท้หรือปลอม  พระไม่ใช่โกนหัวและห่มผ้าเหลืองเท่านั้น      วินัยสงฆ์แต่ละอย่างมีครอบคลุมหมด โจรในผ้าเหลืองก็เยอะ จงพิจารณาก่อน  จากนั้นก็พักผ่อนแล้วตื่นขึ้นมานั่งสมาธิจนเช้า  เก็บกลดเสร็จก็รู้ว่าจะมีคนมาใส่บาตร ก็รอก่อนสักพัก      มีชาวบ้านมากัน    คน  มองดูสองคนแรกต้องการหวย  อีกคนโดนกรรมทำร้ายอยากพ้นทุกข์ ก็คิดแก้ปัญหาไว้ก่อน ใช้วิธีไหน ก็คิดได้ว่าย้อนถามนี่แหละง่ายดี เมื่อเดินเข้ามาใกล้ก็ถามทันที  หลวงพี่เมื่อคืนฝันเห็นเลขเด็ดบ้างไหม อาตมาก็ย้อนถามไปว่าวันนี้วันอะไร วันที่เท่าไหร่ละโยมผู้หญิงก็ตอบว่าวันอังคารที่  ๑๕  ค่ะ  พรุ่งนี้หวยออกแล้ว  เห็นไหมละโยมวันเดือนปียังต้องถามโยมเลยจะเอาหวยมาจากไหน สามีผู้หญิงคนนั้นก็ดุเมียว่าเห็นไหมละท่านเป็นพระปฏิบัติ เมื่อทั้งสามคนไม่คิดเรื่องอื่นแล้วก็มีใจยินดีในทานนั้น  และเพิ่มความปิติในบุญว่า  โยมทั้ง ๓ นี้โชคดีต่อชีวิตพระธุดงค์ เป็นบุญใหญ่เพราะอาตมาฉันมื้อเดียว      แต่ก็มองเห็นว่าขาดไม่เต็ม จึงบอกว่าไปตักน้ำมาสักขันสิจะสอนกรวดน้ำ เมื่อกรวดน้ำเสร็จเทศไปว่า โยมทั้งสามจงจำไว้นะ    ถวายทานต้องกรวดน้ำด้วย  ให้เจ้ากรรมนายเวรหนักจะได้กลายเป็นเบา  ชีวิตมนุษย์นั้นไม่มีใครในโลกเกิดมาแล้วจะไม่ฆ่าสัตว์ไม่เบียดเบียนสัตว์         เมื่อเหยียบผืนดินก็มีมด อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยหนักจะได้กลายเป็นเบานะ  ฉันเสร็จแล้วก็จากไป

กิจที่ไม่เหมือนใคร
     ปักกลดในที่ต่างๆ แตกต่างจากพระธุดงค์ทั่วๆ ไป    คือก่อนจะปักกลดที่ใดจะใช้จิตแผ่ไปหากปะทะเข้ากับภูตผีปีศาจ     เจ้าที่เจ้าทางหรือสิ่งใดก็ตามที่มีจิตคิดร้าย       คือ      ทำได้ตั้งแต่เจ็ดขวบแล้ว  ไม่ใช่เรื่องปาฏิหาริย์อะไรหรอก  อ่านจิตมนุษย์ได้และใช้ได้ไม่จำกัดว่าเป็นมนุษย์เท่านั้น          เป็นภูมิเฉพาะโพธิสัตว์ เมื่อปะทะเข้ากับจิตที่คิดร้าย นั่งลงเทศก่อนว่า เรา คือ พุทธบุตร  หากมนุษย์ เทวดา ทำบุญกับเรามีผลมากแต่หากทำร้ายเราตกนรกทันที  เราไม่หนี  เราไม่อยากสู้รบปรบมือกับใครและเบียดเบียนใคร      เราขออุทิศบุญกุศลนี้ให้ท่านทั้งหลาย  แค่นี้และใช้จิตแผ่ดู    หากยังมีจิตที่คิดร้ายอยู่จะเทศไปเรื่อยๆ   เมื่อไม่มีทิฐิแล้ว ก็นั่งสมาธิ นอน และตื่นมานั่งต่อ  เพราะรู้ทุกๆ มนต์ปราบได้ทั้งหมด  ตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาสแล้ว  ไม่คิดจะมาไร้สาระกับสิ่งเหล่านี้ ของเด็กๆ ไม่ถึงกับต้องลงมือเลย  มนต์ของมหาราชทั้ง ๔  ก็มี  แต่ก็ไม่ถึงกับต้องใช้ หากดื้อนัก ลูกน้องใครมาดูเอง  มหาราชทั้ง ๔ ได้ให้มนต์ปราบมารไว้  พุทธบุตรย่อมรู้ดี  หากศึกษาถูกต้องก็รู้ได้ไม่ใช่เรื่องวิเศษวิโสอะไร  เดินทางไปเรื่อยๆ พกเบี้ยแก้วัดกลางบางแก้วไปด้วย    แต่ก็กำหนดจิตไม่ให้ไปเบียดเบียนใคร เข้าป่ากลัวจะหายมัดใส่ประคตเอวหลายๆ ชั้น  แต่ก็หายจนได้ รู้สึกโล่งๆ  คลำดูหายจนได้เดินย้อนหาดู  ก็มีเสียงบอกมาว่าไม่ต้องหาหรอกท่านไม่จำเป็นต้องใช้แล้วผมทำให้หายเอง        อยากได้ อะไรนึกเอา  ผมก็ย้อนไปว่าขนาดนั้นแล้วหรือ  เสียงนั้นตอบมาว่า ก็ใช่นะสิ  มิน่าละรู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ตอนรถยางแตกแล้ว    ในใจก็นึกไปว่าของแบบนี้เชื่อได้ที่ไหน  รูป รส กลิ่น เสียง  อาจเป็นเพียงอุปทานจิตคิดไปเอง  ต้องลองมองดูกกระติกน้ำหมดแล้ว หากจริงเดินไปต้องได้น้ำ  ใจก็คิดไปว่าเป็นไปไม่ได้หรอก    อยู่ไกลผู้คน  เราไม่บอกใครเขาจะรู้ได้ไงว่าขาดน้ำ   เดินไปสักพัก มีคนขี่มอเตอร์ไซด์ มาจอดข้างๆ เข้ามาถวายน้ำเป็นไปได้หรือนี่  อาตมาก็ถามว่าไกลจากหมู่บ้านเท่าไหร่ เขาบอกว่าไกลอยู่      เอาน้ำมาถวายเป็นแพ็คเลย หรืออาจจะเป็นเหตุบังเอิญก็ได้  เอานี่ดีกว่าตื่นมาวันนี้จะไม่ฉันอาหาร  จะถือบาตรเดินฝ่าหมู่บ้านไป  จะไม่พูดกับใคร  ไม่มีใครใส่บาตรถึงจะยอมเชื่อ  เปิดฝาบาตรเดินฝ่าหมู่บ้านไป  มีแต่คนถามว่าหลวงพี่จะไปไหน แต่ก็ตอบไม่ได้  เดินถือบาตรมามีแต่คนถามว่าหลวงพี่ไปไหน       ใจก็คิดว่าไม่เห็นหรือไงเดินถือบาตรยังจะถามอีก  พ้นหมู่บ้านแล้วอดฉันเลย
อธิษฐานบาตร
    เมื่อธุดงค์ไปอาศัยอยู่กลางทุ่ง  มีกระท่อมร้างอยู่หลังหนึ่งก็ไปอาศัยอยู่  มีความปิติในธรรมทั้งหลายจึงอธิษฐานว่า  เราคือ พุทธบุตรโพธิสัตว์  แลจะเทศโปรดทั้งสามโลก           ขอเชิญท่านทั้งหลายมาฟังธรรมเถอะแล้วก็สาธยายธรรมต่างๆ เบื้องต้น  เบื้องกลาง  และเบื้องสูง  และมนต์ทั้ง      คือ      มนต์เลือกเกิด   มนต์ปราบมาร   และมนต์รักษา  ดังที่เขียยนมา  เมื่อจบแล้วได้ยินเสียงสาธุไปทั่ว  ใจก็นึกไปว่าเรารู้ตัวดีว่าเราคือใคร    ตั้งแต่เด็กก็รู้ว่าตัวเราคือพระโพธิสัตว์   มันเกิดเองทั้งการศึกษาพระไตรปิฏกทั้งหมด   ก็ยืนยันไม่ได้  ทั้งการปฏิบัติธรรมทั้งหมดและมีความสามารถขนาดใด   ก็ยืนยันไม่ได้ ทั้งรู้ใจของหมู่สัตว์ก็ยืนยันไม่ ได้  แม้แต่เปลี่ยนรูปกายเป็นพุทธภูมิ  ก็ยังยืนไม่ได้           แล้วเหล่าพระโพธิสัตว์ใช้อะไรยืนยันก็ย้อนดูอดีตโพธิสัตว์ทั้งหลายใช้อะไรยืนยันก็ได้รู้ว่า การเสี่ยงทายให้ฟ้าดินยืนยัน หากฟ้าดินยืนยันไม่ได้  ก็คือผู้ลวงโลก หากพุทธบุตรเช่นเราลวงโลกเราจะไปนิพพาน  นึกได้ดังนั้น  มองซ้ายมองขวาเห็นแต่บาตร        เอานี่แหละเสียงทายดู มองดูท้องฟ้า มีเมฆก้อนเดียวที่ลอยอยู่ไกลๆและมองไปรอบก็สงสารหมู่ชนทั้งหลาย  และสัตว์ที่กำลังจะตายเพราะขาดน้ำ     ฝนไม่ตกแน่นอน  หากตกจนเต็มบาตรได้  ถึงจะยอมเชื่อ  และถึงจะบอกผู้คนได้  หากเทวดายืนยันไม่ได้  บอกไปก็เป็นผู้ลวงโลก  เพราะตั้งแต่เกิดจนถึงบวช  ไม่เคยเอ่ยกับใครเลย   เป็นความลับแม้แต่ครอบครัว  ญาติพี่น้อง  ก็ไม่บอกใครเลยบอกไปจะมีใครเชื่อ แล้วก็อธิษฐานบารมีว่า หากตัวเราคือโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมี  ผู้ที่จะสำเร็จสัมมาสัมโพธิฌาณแน่นอนแล้ว  ขอให้ฝนตกลงมาให้เต็มบาตรนี้    หากฝนไม่ตกเราจะไปแดนนิพพาน  เปิดบาตรแล้วเอาไปวางไว้กลางแจ้ง  และขึ้นไปอยู่บนกระท่อมร้าง  อุทิศส่วนกุศลให้เทวดารู้  แล้วก็นั่งมองท้องฟ้าในใจตอนนั้นก็คิดไปว่าเราบ้าหรือเปล่า    นั่งมองไปเรื่อยๆ ก็ไม่เกิดอะไรขึ้นฝนไม่ตกแสดงว่าไม่ใช่ มองฟ้าและตะโกนไปว่า             เทวดาทั้งหลายเมื่อท่านยืนยันไม่ได้   เราจะไปแดนนิพพานละ เราบำเพ็ญสัจจะบารมีมาเอ่ยเรื่องใดไม่คืนคำ  มีเสียงร้อนรนจากฟ้าว่าเดี๋ยวสิท่าน  อย่าพูดเอง เออเองแบบนี้สิ  การทำให้ฝนตกไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  ต้องรวบรวมก้อนเมฆมารวมตัวกันก่อน    ขอเวลาหน่อยสิ       ผมก็บอกออกไปว่าให้เวลาก็แล้วกันหน่อยหนึ่ง  นั่งมองท้องฟ้าต่อไป  สิ่งที่เป็นอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น      เมฆบนท้องฟ้าเริ่มทยอยมารวมกัน  และตกลงมาเป็นฝนโปรยๆ ไม่แรง  แล้วก็หยุดเดินลงไปดูบาตร    ตะโกนไปว่าพอฉันที่ไหนละ      ขึ้นไปนั่งมองต่อ ตกแรงกว่าเดิมอีก แต่ฉันได้อึกเดียวก็หยุดไม่เต็มบาตร  เดินลงไปใหม่ประกาศก้องว่าด้วยวิสัยแห่งโพธิสัตว์  เราจะไม่กล่าวเรื่องใดเกิน    ครั้ง   หากครั้งนี้ทำให้ฝนตกลงมาเต็มบาตรไม่ได้ เราจะไปแดนนิพพาน  อย่าโทษเราที่ทิ้งหมู่สัตว์ทั้งหลาย        จงโทษพวกท่านเองที่ทิ้งเรา ครั้งแรกและครั้งสองไม่เท่าไหร่แต่ครั้งที่สามนี้ฟ้าดินแปรปรวนอย่างหนัก  ท้องฟ้ามืดมิดทั่วบริเวณ  ฝนตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว      นั่งมองให้น้ำฝนเต็มบาตร และแล้วน้ำก็เริ่มท่วมบริเวณนั้น             แต่ก็ยังไม่เต็มสักที  ได้เกือบๆ ครึ่งแล้ว       แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าการที่เราเอาบาตรไปวางไว้กลางทุ่ง   รอให้ฝนตกลงมาจนน้ำเต็มบาตร   ที่บริเวณนั้นน้ำคงท่วมแน่ๆ จะเป็นโทษ เทวดาเขาก็ยืนยันถึง ๓  ครั้งติดๆ กัน      ก็คงเพียงพอแล้ว    จากนั้นก็ได้ยินเสียงเคืองๆ ดังมาจากฟ้าว่าพอใจหรือยังละท่าน      หากยังไม่พอแถวนี้น้ำท่วมแน่       ก็บอกว่าพอแล้วแต่ยังไม่เต็มบาตรเดี๋ยวผิดสัจจะ จึงหิ้วบาตรรองจากหลังคาให้เต็ม    แล้วพิจารณาว่าอัศจรรย์จริงๆฝนตกติดๆ กันถึง    ครั้ง   เป็นการบูชาพระพุทธองค์ด้วย คือ     พระพุทธ  พระธรรม     พระสงฆ์  ฟ้าก็ยังยืนยันแล้วว่าเราคือพุทธบุตรโพธิสัตว์    ผู้ที่จะสำเร็จสัมมาสัมโพธิฌาณแน่นอน  หากมนุษย์ผู้ใดรู้เรื่องนี้เข้า  ผู้มีปัญญาก็จะรู้ได้ว่า       การบำเพ็ญบารมีกับโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียรสมบูรณ์แล้วให้ผลมหาศาลเพียงใด       และมนุษย์ผู้ไร้ปัญญาอาจจะมองว่าบ้าก็ได้เป็นทั้งคุณและโทษแต่เรารู้แล้วและอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ คือ โลกธรรมทั้ง    ประการ   อันมี
  ได้ลาภ –  เสื่อมลาภ    ได้ยศ  -  เสื่อมยศ     สรรเสริญ – นินทา   สุข – ทุกข์   ใครจะสรรเสริญหรือด่าทอเรา  เราก็ไม่ยึดติดในสิ่งเหล่านี้แล้ว   ไม่มีกิจอะไรต้องทำแล้วในโลก
เทวดานิมนต์ออกจากป่า
    ก็ปฏิบัติเหมือนเดิมทุกวัน คือ นั่งสมาธิ หลับ และตื่นแล้วจะไม่นอนต่อ  ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด  จะนั่งสมาธิจนเช้าและบิณฑบาตโปรดสัตว์และจะไม่โปรดมนุษย์ผู้ไร้ศรัทธา ลุกมาเดินจงกรมอยู่กลางทุ่ง แล้วพิจารณาตัวเองว่าอะไรสมควรทำและไม่สมควรทำ  พิจารณามนต์ทั้งสามส่วน  สิ่งที่ได้ศึกษา และปฏิบัติมาเป็นของยากยิ่งในโลก       แล้วระลึกถึงพระพุทธองค์ ทรงทำเรื่องต่างๆ มากมายสิ่งที่ได้ศึกษาและปฏิบัติมาจนบัดนี้ คือ  ธรรมของท่าน  ซึ่งคือ อาจารย์แห่งเรา  ทำไมเราไม่เอาเป็นแบบอย่าง  จิตใจก็ค้านมาว่าไม่เอาละ    เราเป็นเพียงภิกษุหนุ่มรูปเล็กๆ จะทำอะไรได้ในโลกใบใหญ่ ไม่ใช่กิจแห่งเราต้องทำ  และสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีใครรู้เลย  เราเกิดมาเพื่อแสวงหาจนพบแล้วก็จากไปอยู่สงบๆ ในป่านี่แหละ จะเหนื่อยทำไม  แต่เหตุที่ต้องทำก็เกิดขึ้นจนได้  คือ  มี่เสียงก้องมาจากฟ้าว่า  ถึงเวลาแล้ว  ที่เจ้าจะไปบอกผู้คน  ในสิ่งที่เจ้ารู้มา    เจ้าจะช่วยผู้คนได้เป็นจำนวนมาก  แล้วผมก็ถามไปว่า  ทำไมต้องเป็นผมด้วย  ผู้คนมีตั้งมากมาย       ผู้รู้กว่าผมก็มีมากภิกษุผู้รู้มากมาย  ผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร  ผมเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ บนโลกใบใหญ่    จะทำอะไรได้เงินก็ไม่มีเกิดมาก็เป็นเพียงลูกชาวนา   จนกรอบซะขนาดนี้  ทำไมไม่เลือกเอาคนรวยๆ พร้อมด้วยทุกอย่างไม่ง่ายกว่าหรือ  เห็นไหมยากขนาดไหน   ทำมต้องโยนมาให้ผม  ผมอยู่ของผมก็ดีแล้ว  ใครที่ไหนเขาจะเชื่อ  เสียงนั้นตอบกลับมาว่า  ถ้าเจ้าไม่ทำแล้วใครจะทำ  ถ้าเจ้าไม่รู้แล้วใครจะรู้  ไปเถอะไปบอกทางออกแก่ผู้คน  ยังมีผู้ต้องการอยู่ แล้วก็พิจารณาถึงตัวเองตั้งแต่เด็กๆ  คิดเพียงสิ่งเดียว    คือ อยากช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์    อยู่เพื่อผู้อื่น  หากจะช่วยผู้ใดก็ช่วยได้  หากอยากรู้จิตใจผู้อื่นก็ทำได้ตั้งแต่เด็ก  ความสามารถและสิ่งที่แสวงหาเพื่อสิ่งใด  หากนับจำนวนแล้วเราเป็นบุคคลที่สองในโลกและรองเพียงอาจารย์แห่งเราเท่านั้น      หากเก็บความรอบรู้เหล่านี้ไว้เป็นความลับต่อไป  อาจจะสูญหายไปพร้อมๆ กับตัวเรา    แค่มนต์เลือกเกิดมนต์เดียวก็นับได้ว่า  นอกจากพระอาจารย์เราแล้ว  คนเช่นเราเกิดได้ยากยิ่งในโลก  เมื่อพิจารณาแล้วก็รับเอาว่า เอาละ  ไปก็ไป  ทำก็ทำ  แต่เรามีข้อแม้  เพียง    ข้อ       เรามีเสรี เราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจของใคร   แม้แต่ท่านเองซึ่งเป็นผู้นิมนต์เรา  หากสองสิ่งนี้เกิดขึ้นบนโลกแล้วเราจะไม่ทำ  จึงประกาศให้รู้ว่า     สิ่งนี้  คือ
     ๑.  หากมนุษย์ผู้ใดในโลกก็ตาม  ทำแล้วบอกทางออกทุกๆ ทางและสมบูรณ์พร้อม  มีความสามารถรอบรู้  ทุกๆ เส้นทางบนโลก  และวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง  บอกทางออกของทุกๆ ปัญหาได้ เหมือนเราแล้วเราจะไม่ทำจะถือว่ามนุษย์ได้เห็นแล้ว  รู้แล้วมิใช่กิจแห่งเราอีกแล้ว
      ๒.  หากบอกทางออกแก่มนุษย์แล้วไม่มีผู้ปฏิบัติตามหรือเห็นว่าไม่มีคุณค่า  ไร้สาระ    และหาว่าเราบแล้ว    เราจะไม่ทำต่อเพราะสิ่งเหล่านี้ คือ ภูมิแห่งเรา  คือ  สัจธรรมแห่งโลก  ไม่ได้มีไว้ให้มนุษย์ผู้ใดเหยียบย่ำเล่น  ทั้ง    โลกนี้ เราไม่เคยหนีผู้ใด  เพราะรู้จริงในสัจธรรมนี้
    เมื่อกล่าวดังนี้เพราะรับกิจของเทวดา จึงพิจารณาต่อว่า      หากอยู่ในวินัยสงฆ์ เราคงทำไม่ได้เพราะพระวินัย ละเอียดมาก  ตัวเราผิดวินัยสงฆ์ไม่ได้  รู้คือรู้  เมื่อรู้แล้วทำผิดไม่ได้  และเราก็เป็นภิกษุรูปเล็กๆ  จะไปต่อกรกับใครเขาได้  ผู้เป็นอามิสทายาท หลงในยศ –  ศักดิ์  มีมากมาย  เรื่องเคยเกิดขึ้นมาแล้วในแต่ละยุคพุทธบุตรโพธิสัตว์  ย่อมไม่หนีแม้จะต้องตาย   ครั้งอดีตยังรู้สึกได้ว่าหัวหลุดมาแล้ว  จำต้องลาสิกขาออกมาทั้งๆ ที่มีความอาลัยในร่มกาสาวภักดิ์มาก  ก่อนจะลาสิกขาออกมา      ได้อธิษฐานบารมีต่อหน้าพระธาตุว่าทั่วทั้ง    โลก  จงมาเป็นประจักษ์พยาน  เรา คือ พุทธบุตร  ไม่ว่าจะอยู่ในรูปใด  ขอท่านทั้งหลายพึงจดจำเราในฐานะ พุทธบุตร  เราขอถวายศีรษะนี้แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  และลาสิกขาออกมา
จากป่าสู่เว็บไซต์   HTTP://PHOOBOKTHANG.BLOGSPOT.COM 
    อาจจะมีมนุษย์บางคนถามผมว่า ทำไมพระรูปอื่นถึงทำได้   แต่ทำไมผมทำไม่ได้       ยังมีอีกหลายเรื่องที่มนุษย์ทั่วๆไปไม่เข้าใจ  คือ  พระวินัยสงฆ์มีถึง  ๒๒๗  ข้อหากเป็นพระบ้านทั่วๆ ไป     และถ้าเป็นพระป่าจะใช้ความบนิสุทธิ์แห่งใจเป็นที่ตั้ง    ใจบริสุทธิ์  คือ  สละไม่รับอะไร  รับได้แต่ข้าวน้ำ        และบริขารที่จำเป็นต่างๆ เท่านั้น และผมชอบอยู่ป่ามากกว่า  สงบดี จึงเข้าป่าลึกๆ ที่ไร้ผู้คนอยู่และผมไม่อยากไปแก้ไขด้วยการแก้อาบัติต่างๆ   ยังมีเรื่องมากมายในสงฆ์ที่บุคคลทั่วไปไม่เข้าใจ  ท่าน หรือองค์ใดทำได้ก็ทำไป  หากยังอยู่ในวินัยสงฆ์ ท่านก็คือพระแท้  น่ากราบไหว้สมควรทำบุญด้วยประการต่างๆ     อย่าเอาผมไปเปรียบกับท่านเลย  หากอยากรู้พระวินัยปิฎกก็มีจะศึกษาหรือเปล่าเท่านั้นเอง  ส่วนผมแคไม่ทำจะกระทบหลายฝ่าย  และมีขอบเขตที่จำกัดเกินไป  จะให้พระป่าเล่นเน็ตฯ ก็ทำใจลำบากเหมือนกัน       อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลสมควรไปศึกษาเพิ่มเติม ประมาณนั้น 
    บางท่านอาจบอกว่าเวอร์ไปหรือเปล่า  พี่ทิศ มันเวอร์ตั้งแต่    ขวบแล้ว  ทำไงได้     มีที่ไหนเด็ก   ๗ – ๘ ขวบคิดได้  บางท่านอาจจะถามว่าจริงหรือ  ผมก็ต้องตอบว่า เรื่องแบบนี้ใครจะเอามาล้อเล่นละ ถึงตายนะหรือบางท่านอาจจะบอกว่าต้องลอง   (  เหมือนผม )   ผมขอร้องไปที่อื่นเถอะ  อย่ามาอยากลองเลย  ใครที่คิดว่าแน่ก็ไปศึกษาพระไตรปิฏกแล้วอ่านให้เข้าใจทั้งหมด  ( กำดินมาก้อนหนึ่ง )   ย่อขยายได้ หากยังไม่พอปฏิบัติต่ออีก    พวกนอกศาสนาเยอะแยะ  เว้นผมไว้เถอะ  ทีแรกจะเขียนหนังสือและส่งไปสำนักพิมพ์ต่างๆ ก็คิดว่าจะมีสสำนักพิมพ์ใดบ้างจะต้องการผลงานของผู้ปฏิบัติไปลง  ก็ไม่ใช่นักเขียนนี่นา         ที่เขียนๆ มาทั้งหมดนี้มาจากความรู้ล้วนๆ  และการปฏิบัติ         แต่แล้วก็มีเหตุให้ได้ทำ  คือ  น้องชายของผมได้มาถามผมว่าภพชาติเกิดมาจากที่ใด  ทำไมถึงทุกข์ทรมานแบบนี้ถามคนทั้งโลกอาจจะหาว่าบ้า  แต่ถามโดนตอเข้าให้แล้ว คือ ตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครรู้เลยแม่แต่พ่อ แม่ น้องๆ  พี่ๆ  ผมจึงจัดหนักให้    ปฏิจฺจสมุปบาทผสานภพเต็มๆ แยกองค์ประกอบให้ฟัง    และเป็นคนแรกที่รู้เส้นทางต่างๆ    และผมก็เริ่มเรื่องการทำเว็บไซต์นี้ขึ้นมา  ผมเป็นผู้เขียนขึ้น  น้องเป็นผู้พิมพ์  มีคนเห็นตามแล้วในโลกนี้  เพียงแต่อยากช่วยผู้คน    แม้จะเป็นเพียงลูกชาวนาจนๆ ผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา  แต่ก็ทรงปัญญามากมาย  ที่เขียนเรื่องต่างๆ ก็เป็นเพียงกิ่งใบ เพียงหวังว่าจะมีมนุษย์ได้เจอ  ได้มองเห็น  จะพิจารณาเห็นคุณค่า  ช่วยกันบอกต่อ
      การสร้างเว็บไซต์และสร้างหนังสือต่างๆ ต้องใช้กำลังทรัพย์มาก          เมื่อทำเสร็จก็สุดทางแล้ว  หากไร้มนุษย์ผู้ใดเห็นคุณค่า จะดำรงค์อยู่ไม่นาน   กิ่งใบนั้นเด็ดไปได้ตามใจ  ส่วนการตัดต้นไม้นั้น  แม้จะให้ขวานไปหากเพียงแต่นั่งมองขวาน  ไม่ลงมือทำก็จะไม่เกิดประโยชน์อันใด  หากมนุษย์ผู้ใดได้เห็นแล้ว  รู้แล้ว ว่าที่แท้จริงผมคือใคร ผมคือ  “...พุทธบุตรโพธิสัตว์...”  เป็นทั้งบุตรแห่งพระศาสดา  และเป็นทั้งโพธิสัตว์จุติ  เพื่อนำทางหมู่ชนทั้งหลาย  ก้าวข้ามพ้นกองทุกข์  จากการร้องไห้  พิการ  เจ็บป่วย         จากความมืดมิดในโลกอยากไปไหนผมตอบให้หมดแล้ว    หากมนุษย์ผู้ใดไร้ที่พึ่ง    มาเถอะท่านทั้งหลาย  ยังมีอยู่  ที่นี่จะเป็นที่พึ่งให้ท่าน  พระอาจารย์แห่งเรา  พระมหาศาสดาแห่งโลก  จักอยู่ได้   ๕,๐๐๐  ปี  เราถือกำเนิดมาเพื่อสองสิ่งนี้และค้นหาจนเจอ      เป็นมนุษย์บุคคลที่สองที่ฟ้ายังรับรอง  หากเสี่ยงทายแล้ว  ไม่เกิดผล จะไม่มีเว็บไซต์นี้เกิดขึ้น  หากทำสุดทางแล้ว  เหมือนข้อที่    สิ่งเหล่านี้จะตายไปพร้อมๆ กับความลับที่ถูกปกปิดไว้  บาง ครั้งก็ถูกลิขิตมาจากฟ้า  ผมหนีไปสุดหล้า  เข้าป่าลึกไม่ยอมออกมาเพียงหวังอยู่อย่างสงบ  แต่เมื่อหนียังไงฟ้าก็ยังตามเจอ   ขอให้ช่วยผู้คนและสำนึกในหน้าที่    อย่าง  อย่างนี้  คือ
    ๑.     รักษาพระศาสนาของพระอาจารย์  คือ  องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ครบ    ๕,๐๐๐  ปี
     ๒.    นำทางหมู่ชนทั้งหลายให้มีทางเลือก    บอกทางแก่ผู้ที่หลงทาง   ทุกๆ เส้นทางบอกแล้ว     อดีตไม่สำคัญ  อนาคตยังมาไม่ถึง  ปัจจุบันต่างหากที่จำเป็น  ผมกล้ายืนยันมนต์ทั้ง     ส่วน คือ   ๑.มนต์เลือกเกิด       ๒.     มนต์ปราบมาร    ๓.  มนต์รักษา  เพราะทุกๆมนต์เป็นความความดีเบื้องต้น         เบื้องกลาง และเบื้องสูง      ส่วนมนต์รักษานั้น เพื่อช่วยเหลือผู้ทุกข์ด้วยถูกมารร้ายแห่งโลก   คือ  ความชั่วรังแก เพราะมนต์เหล่านี้มาจากพระไตรปิฎกเป็นของพระพุทธองค์  เป็นสากล  และผมเองก็เป็นพุทธบุตร     จึงไม่ปิดบังมนต์ทั้งหลายเหล่านี้  เพื่อประโยชน์นำพาหมู่สัตว์ให้พ้นจากกองทุกข์    แต่หากถามผมว่าแล้วตัวผมละเอาอะไรมายืนยันว่าเป็นพระโพธิสัตว์จุติ   ผมก็ตอบว่าให้ฟ้ายืนยัน  ลองถามใจตัวเองดู      หากตอบว่าผมเป็นผู้ลวงโลกก็ผ่านไปไม่ต้องสนใจ  ดังคำที่ทุกคนทั่วไปใช้คือ  ไม่เชื่ออย่าลบหลู่  หากยังพอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่ผมกล่าวมาได้ทั้งหมด  ยังมีแก่นสารอย่างน้อยๆ ก็เคยเป็นพระป่า เป็นบุตรแห่งพระศาสดา        ย่อมต้องมีความดีอยู่บ้าง  ลองมาปฏิบัติดูก็ไม่เสียหาย  เพราะไม่มีปิดบัง  ไม่มีซ่อนเร้น  และไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร  ทำดีมีแต่ได้  ไม่มีเสียเลย      และตัวผมเองยืนยันตัวผมเองได้         หากถามว่าเอาอะไรมายืนยัน  ผมไม่มีอะไรยืนยันแล้ว  มีแต่ชีวิตนี้เท่านั้น 
     ชีวิตมนุษย์สั้นนัก  จักตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้  การได้  พบเจอกับมหาบุรุษนั้นยากแสนยาก  และกว่าบุรุษเหล่านั้นจะค้นเจอ  เขาอาจจะต้องสูญเสียทุกสิ่งที่เขามีอยู่เพื่อแลกมา      ถ้าถามผมว่าใช้อะไรแลกมา  ผมขอบอกว่าใช้ชีวิตทั้งชีวิต นี่คือ  ผมลูกชาวนาที่ปรารถนาจะช่วยโลก      สังคมเลวร้ายลง  ศีล    ขาดไปทั่ว  ความทุกข์ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น  ผู้คนเห็นผิดเป็นชอบเยอะขึ้น  มนุษย์ผู้ไม่เลือก ก็อยู่ต่อบนโลกที่เลือกเกิดไม่ได้ต่อไป    ส่วนมนุษย์ที่เห็นแล้ว รู้แล้ว  เลือกแล้วจะพ้นทุกข์ทั้งปวงบนโลกนี้และโลกหน้า 
       ตามมา...ผมจะพาบินข้ามทางกันดารสู่ดินแดนใหม่    ที่มนุษย์ไม่ต้องเกิดมา พิการ  ยากจน  อดอยากดินแดนในฝันที่เป็นจริงใน โลกปัจจุบัน     ดินแดนนั้นผู้คนจะเสมอภาค  เท่าเทียมกันทั้งหมด   และเราจะเกิดใหม่  และดินแดนนั้นไม่มีผู้ใดจะเหนือกว่าเรา  เราจะเป็นหนึ่งในโลก      แต่     ที่นี้  เรา คือ  พุทธบุตรอย่าแสวงหาว่าเราคือใคร มองไปในตัวเองแล้วจะพบ       จงทิ้งอดีตและอนาคตไว้ที่นี่  เพราะนี่คือ  ปัจจุบันและชื่อแห่งเราผู้คนทั้ง    โลก ต่างเรียกขานเหมือนกันว่า.......
                                      “ ...พุทธบุตรโพธิสัตว์...”    วิหกขาว phoobokthang.blogspot.com


ส่งท้าย
      มนุษยเลือกเกิดได้นี้  หากถามผมว่าอยากให้เชื่อหรือไม่  ผมตอบว่าไม่  เพราะอะไรผมถึงตอบว่าไม่มาดูเหตุผลกัน    ครั้งหนึ่งพุทธองค์ถามพระสารีบุตรว่า  สารีบุตรเธอจะเชื่อไหมที่พุทธองค์สอน   พระสารีบุตรตอบว่า  ไม่เชื่อพระเจ้าข้า    พุทธองค์ถามว่าทำไมเธอถึงไม่เชื่อ  พระสารีบุตรตอบว่า   ให้ผมปฏิบัติและทำได้ก่อนจะเชื่อพระเจ้าข้า  พระพุทธองค์ตรัสว่า  ดีแล้วสารีบุตร  อย่าเชื่อเพราะเป็นอาจารย์    อย่าเชื่อเพราะสิ่งที่สืบทอดมา  อย่าเชื่อตามผู้อื่นบอก  จงเชื่อในผลการปฏิบัติของตัวเอง        เพราะเหตุนี้ผมจึงตอบว่าไม่เพราะอยากให้ผู้คนมาปฏิบัติมากกว่า  จะรู้เองเห็นเอง  เพราะของจริงนั้นย่อมตรวจสอบได้  จริงหรือเท็จนั้นย่อมปรากฎสักวันหนึ่ง  ผู้ลวงโลกสุดท้ายความชั่วจะประจานตัวเอง  ผมอยากให้ทุกๆ ท่านยึดถือในความดีมากกว่าตัวบุคคล  เพราะเมื่อบุคคลเสื่อม ความดียังคงอยู่  ความดีทั้งหลายในโลกคือความจริง ทั้งเบื้องต้น คือ การให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา  ผู้คนกล่าวเรื่องความดีว่าการให้ทาน การบริจาค  แต่ความดียังมีอีกมากมาย  มนุษย์ผู้ที่เลือกเกิดได้ คือ ปรับความเชื่อ ทัศนะคติใหม่  คือ รักษาศีลก่อน  ให้ทานและเจริญภาวนา คำว่าผู้บอกทางนั้นมิใช่ทางหรือแผนที่โลกแต่เป็นทางเดินทุกๆ เส้นทางบนโลกนี้หรือโลกหน้า    ผู้ใช้นามนี้ได้สูงสุด คือ “ พุทธองค์ ” เท่านั้น    และรองลงมาคือ เหล่าพุทธบุตรซึ่งสืบเชื้อสาย   พุทธภูมิ      หรือเรียกว่า พุทธบุตรโพธิสัตว์ซึ่งเป็นทั้งบุตรแห่งพระศาสดาและเป็นทั้งพระโพธิสัตว์จุติเพื่อช่วยผู้คนให้พ้นทุกข์ซึ่งรอบรู้ทุกๆ เส้นทางต่างๆ เป็นความรู้เหนือความรู้ทั่วๆ ไป    แต่ก็มีขอบเขตจำกัด คือ บุคคลที่ทำขึ้นนี้เป็นเพียงลูกชาวนาจนๆ ซึ่งบุคคลทั้งหลายอาจจะคิดผิดได้ ที่ลงไว้เพราะเหตุที่อยากให้เผยแผ่ไป  จะช่วยผู้คนที่ต้องทุกข์ได้มาก  หากท่านใดจะบริจาคช่วยเว็บไซต์นี้  จะไม่รับสิ่งเหล่านี้ต้องมีศรัทธาจริงๆ เท่านั้น และต้องเป็นการสั่งหนังสือที่พิมพ์ขึ้นมาเผยแผ่     เพราะเหตุป้องกันการเห็นผิดว่าทำขึ้นเพื่อชื่อเสียง  เงินทอง   หรือลวงโลก    จึงไม่ได้ลงอายุ  หน้าตา  และรายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้จัดทำไว้        และผู้เขียนก็ชอบความสงบเหมือนผู้ปฏิบัติทั้งหลาย  มีเพียงชื่อที่ใช้คือ  วิหกขาว  พุทธบุตรโพธิสัตว์หรือผู้บอกทางเท่านั้น   และในส่วนต่างๆ    จะคิดแยกคำถามต่างๆ ตามลักษณะที่พุทธบุตรถาม – ตอบ ได้ดังนี้     คือ      แบ่งคำถามออกเป็น๔  ประเภท  แต่ละส่วนจะตอบได้หรือไม่ได้  หากไม่รู้ก็จะตอบว่าไม่รู้จริงๆ
 ๑.  ตอบนัยเดียว  คือ  คำถามที่อยากรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการเขียนนี้ที่ยังมีข้อสงสัยอยู่
 ๒.  แยกตอบ  คือ  คำถามที่เกี่ยวกับการปฏิบัติต่างๆ ตามลำดับ 
 ๓.  ตอบโดยย้อนถาม คือ คำถามบางคำถามไม่เข้าใจว่าผู้ถามต้องการอะไรกันแน่ โอ้อวดหรืออยากรู้จริงๆ
 ๔.  งดตอบ  คือ  คำถามที่เกี่ยวกับตัวผู้เขียน  บุคคล  สถานที่ ของดตอบ ( เพราะตอบหมดแล้ว )