เลือกเกิดในศาสนาพระศรีอาริยะเมตไตร

   เริ่มต้นด้วยคำถามต่างๆ พระศรีอาริยะเมตไตรคือใคร  มีจริงเปล่า การจะไปเกิดในดินแดนนั้นต้องทำยังไงมนุษย์ผู้หลงทางเป็นจำนวนมากไม่เข้าใจเหตุต่างๆ  ผู้เขียนจึงเขียนเรื่องราวต่างๆ ไว้  เพื่อให้ผู้ต้องการไปได้เข้าใจถูกต้อง  และมีเรื่องราวในพระไตรปิฎกให้บุคคลทั้งหลายพิจารณา   พระศรีอาริยะเมตไตร คือ พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญเพียร  เหมือนพระพุทธองค์ตอนเป็นพระโพธิสัตว์  จะมาตรัสรู้ในอนาคตกาลเบื้องหน้า  ถ้าจะให้เข้าใจต้องเริ่มจากต้นเหตุ คือ การบำเพ็ญเพียรของโพธิสัตว์     เพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิฌาณ  พระปัจเจกพระพุทธเจ้าและพระอัครสาวก  ขวา – ซ้าย  และสาวกต่างๆ ดังนี้
 พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก  เล่มที่  ๓๒ –  ๓๓  เรื่อง พระโพธิสัตว์
   การบำเพ็ญเพียรเพื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าและสาวกต่างๆ จากมากไปหาน้อย
  ๑.   วิริยะธิกะ         ๑๖      อสงไขย    กับอีก     ๑๐๐,๐๐๐    กัป
   ๒.   ศรัทธาธิกะ               อสงไขย    กับอีก    ๑๐๐,๐๐๐    กัป
   ๓.   ปัญญาธิกะ               อสงไขย    กับอีก    ๑๐๐,๐๐๐    กัป
   ๔.   ปัจเจกพระพุทธเจ้า  วิริยะธิกะ , ศรัทธาธิกะ , ปัญญาธิกะ       อสงไขย กับอีก  ๑๐๐,๐๐๐  กัป
   ๕.   อัครสาวกเบื้องขวา – ซ้าย      อสงไขย  กับอีก  ๑๐๐,๐๐๐  กัป
   ๖.   มหาสาวก   ( ผู้เป็นเลิศในด้านต่างๆ )    ๑๐๐,๐๐๐  กัป
    ๗.   ปกติสาวก  (  พระอรหันต์ทั่วไป )  ๑๐๐ – ๑,๐๐๐  กัป  ก็ได้  แล้วแต่เริ่มสร้างเมื่อใด
๑. ปัญญาธิกะ   คือ      การบำเพ็ญเพียรด้วยปัญญา  คือ  พระพุทธเจ้าของเรานี่เอง  เป็นยุคที่ผู้คนมีศีลพร่องมาก  เบียดเบียนกันมาก  จึงมีคนรวยบ้าง จนบ้าง พิการ  รบราฆ่าฟัน  ทุกข์ทรมานจากเหตุต่างๆมากมาย  เพราะยุคนี้พร่องด้วยศีล ๕  เป็นเหตุ
๒.  ศรัทธาธิกะ  คือ  การบำเพ็ญบารมีด้วยศรัทธา  ผู้คนรักษาศีลมากขึ้น  เบียดเบียนกันน้อยมีศีลห้ามากขึ้น
๓.   วิริยะธิกะ   คือการบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยะ  นี่แหละ คือ ปัจจัยสำคัญ     พระศรีอาริยะเมตไตรบำเพ็ญเพียรด้วยวิริยะธิกะ  เป็นการบำเพ็ญบารมีสูงสุด  ผู้ที่เกิดยุคนั้นต้องมีศีลห้าสมบูรณ์       เพราะยุคนั้นศีลห้าครองโลก  หมายถึง มนุษย์มีศีล ๕ เป็นปกติ  และชอบให้ทาน  พร้อมปฏิบัติธรรม
   ทั้ง    แบบนี้  ผู้ที่จะไปเกิดตามต้องปฏิบัติแตกต่างกันไป คือ  มีอายุ การรักษาศีลที่พร่องมากพร่องน้อยเป็นเหตุ มาพิจารณาอายุของพระพุทธเจ้าในอดีต  แต่ละพระองค์  ทั้ง    พระองค์  รวมทั้งองค์ที่ ๗  ในยุคสมัยนี้
       ๑.  พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า            ๘๐,๐๐๐     ปี
        ๒.  พระสีขีสัมมาสัมพุทธเจ้า                ๗๐,๐๐๐     ปี
        ๓. พระเวสภูสัมมาสัมพุทธเจ้า              ๖๐,๐๐๐     ปี
         ๔.  พระกกุสันทะสัมมาสัมพุทธเจ้า         ๔๐,๐๐๐   ปี
         ๕.  พระโกนาคมสัมมาสัมพุทธเจ้า          ๓๐,๐๐๐   ปี
         ๖.  พระกัสสะปะสัมมาสัมพุทธเจ้า          ๒๐,๐๐๐   ปี
         ๗.  พระโคตมะสัมมาสัมพุทธเจ้า             ๘๐   ปีหรือมากกว่านี้ไม่มาก คือพระพุทธเจ้าของเรา
        ในส่วนอนาคตนั้นถัดไปจากนี้  จะเป็นพระศรีอาริยะเมตไตร ( ศึกษาได้จากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ )ในส่วนที่ผู้ที่ศึกษาเรื่องราวต่างๆ    เรื่อง     อชิตะภิกขุ          ที่ได้มารับคำทำนายจากพระพุทธองค์นั้น คือ     พระศรีอาริยะเมตไตรนั้นมีบันทึกไว้  แต่มีบางท่านเขียนผิด  หรืออาจารย์บางท่านเทศเกี่ยวกับพระศรีอาริย-เมตไตรหรือบุคคลทั่วไปกล่าวว่า เมื่อสิ้นศาสนาของพระศาสนานี้ ครบ  ๕,๐๐๐ ปี พระศรีอาริยะเมตไตรจะลงมาเกิดทันที  เพื่อประกาศพระศาสนา  แต่ผมขอค้านเรื่องราวที่กล่าวผิดนี้    ผิดถูกประการใด ไตร่ตรองดู  คือ
   ๑.  พระศรีอาริยะเมตไตรมีอายุเท่าๆ กับ      พระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า     คือ  ๘๐,๐๐๐   ปี   บวชตอน  ๔๐,๐๐๐   ปี      จะเป็นไปได้ยังไงที่จะมาจุติต่อจากศาสนานี้  มนุษย์ยุคนี้มีชีวิตมากสุดไม่เกิน  ๑๒๐  ปี
   ๒.  พระศรีอาริยะเมตไตร  บำเพ็ญเพียรวิริยะธิกะมา  หากดูตามอายุของพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ นั้น ต้องนับย้อนกลับใหม่  คือ สูญสิ้นก่อนและเริ่มใหม่  ถึงจะเป็นไปได้
    ๓.  ฝ่ายมหายาน   ( คือ ทางจีน )   กล่าวไปต่างๆ นาๆ        ว่าพระศรีอาริยะเมตไตร   คือ  องค์นั้นองค์นี้   พระศรีอาริยะเมตไตร คือ พุทธบุตร    ที่รักและเคารพพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์     เกิดมาเป็นพุทธบุตร คือ อชิตะภิกขุ  มีรึจะไปเกิดในศาสนาที่ถูกแบ่งไป        เพราะรักและเคารพอาจารย์ที่สุด      เคยตัดศีรษะถวายพระพุทธเจ้าในกาลก่อนและปรารถนาพุทธภูมิ จะไม่แบ่งศาสนาของพระอาจารย์เป็น     เด็ดขาดและผู้ใดกล่าวแบบนี้        ผมขอค้านมาดูของผมบ้างดีกว่า         ให้พิจารณาดูถึงเหตุและผลต่างๆ ส่วนต่อจากนี้คือ      เมื่ออชิตะภิกขุรับคำทำนายแล้ว      พระอานนท์ถามพระพุทธองค์ว่า       จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น  เมื่อสิ้นศาสนาของพระพุทธองค์  คือ  ๕,๐๐๐ ปี  แล้วพระศรีอาริยะเมตไตร  จะอุบัติขึ้นทันทีหหรือเปล่า  พระพุทธองค์ตอบว่า  ยังหรอก  จะมีพระปัจเจกพระพุทธเจ้า เกิดมาอีก ๒  องค์  เมื่อสิ้นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า    ๒ องค์นี้  ถึงจะเป็นการวิบัติ  หากมนุษย์คิดผิดว่าโลกจะแตกหรือเกิดเรื่องราวต่างๆ นั้น  ขอให้ทิ้งไปเพราะเหตุ อนาคสังตญาณนั้น  แม้แต่ตอนที่พระพุทธองค์ได้รับคำทำนายตอนเป็นฤาษี คือ สุเมธดาบสนั้น ยาวนานถึง ๔  อสงไขย  กับอีก ๑๐๐,๐๐๐  กัป  ทั้ง  ๓ แบบดังกล่าว เมื่อได้รับคำทำนายจากพระพุทธองค์ก่อนแล้วยังต้องบำเพ็ญเพียรเพิ่ม  เรียกว่า  บารมี  ๓๐  ทัศ     อีกตามลำดับ  ทั้ง  ๑๖  ทั้ง    ทั้ง    อสงไขย  คือ การบำเพ็ญเพียรขั้นสุดท้าย     พระพุทธองค์นั้นนับเป็นอสงไขย ซึ่งยาวนานกว่าปีหรือสองพันกว่าปีมากมายนักแล้วทำไมใกล้ๆ แค่นี้จะกล่าวผิด  หากกล่าวว่ารู้ต้องรู้ให้ถูกต้อง     ผมกล่าวเปรียบเทียบให้ท่านทั้งหลายฟังและพระพุทธองค์ก็กล่าวต่อไปว่า     ศาสนาของพระองค์จะล่มสลายในชมพูทวีป       จะมาสถิตอยู่ดินแดนสุวรรณภูมิ  ในยุคหลังจากผ่านไปครึ่งทางแห่งศาสนาแล้ว            ด้วยเหตุนี้รอยพระพุทธบาทจึงมี    แห่ง ในชมพูทวีปกลับมีน้อย และจะเกิดภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมาย  ทั้งเรื่องต่างๆ ภัยทั้งหลายมี ๔ ทาง คือ ทางน้ำ น้ำจะท่วม ทางลม คือพายุจะพัดทำลายสิ่งต่างๆ  ทางดิน  คือ จะเกิดแผ่นดินไหวตามที่ต่างๆ     ทางไฟ คือ ความร้อนจะเพิ่มสูงขึ้น   ศาสนาต่างๆ จะล่มสลาย     คงเหลือพระพุทธศาสนาที่มีแก่นสารและปฏิบัติให้ได้ บรรลุเป็นลำดับ  คือ พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ เมื่อใกล้สิ้น  ๕,๐๐๐  ปีแล้ว  ภิกษุไม่รักษาพระวินัย จะเป็นผู้ทำลายพระศาสนาและเมื่อนั้นจะสูญสิ้นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า        องค์      จะอุบัติขึ้นบนโลก  ณ ดินแดนนั้นผู้คนจะเบียดเบียนกันมาก  หากเปรียบเทียบกับตอนนี้ก็ครึ่งหนึ่ง เมื่อสิ้นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า สององค์แล้วจะถึงกาลวิบัติของจริง เพราะเป็นแดนกลียุคคือ เป็นยุคที่ไม่มีผู้มีบุญมาเกิด  ด้วยเหตุทั้งหลายเหล่านี้ คือ  ฆ่าสัตว์มากเบียดเบียนกันมากทำให้อายุสั้นลง  ลักทรัพย์มากไม่ให้ทานกับใครทำให้ยากจนลง และอดอยาก   ประพฤติผิดในกามมากพอๆ กับสัตว์เดรัจฉาน  มีการพยาบาทจองเวร    สภาวะต่างๆ เสื่อม โทรมลง  มีผู้ไร้สติมากไร้ปัญญาที่จะยับยั้งตน นี่คือกลียุค      มนุษย์ผู้ใดผิดศีลธรรมต่างๆ ในยุคนี้ ไม่รักษาศีล    ให้ทานและเจริญภาวนา  จะต้องทุกข์ทรมาน เหมือนกระแสน้ำที่ไหลไปเรื่อยๆ และกระแสต่างๆ รุน แรงขึ้น  จนมนุษย์มีอายุ  ๑๐  ปี  เท่าสัตว์เดรัจฉาน  มนุษย์ที่มีศีลธรรมเหลืออยู่มีชีวิตรอด       และคิดได้ว่า เพราะเหตุแห่งการเบียดเบียนกัน  เริ่มรักษาศีลไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์  ให้ทานกับสัตว์     จะอายุยืนขึ้น  และศีลข้อต่างๆ เพิ่มจำนวนขึ้น     จนครบทั้ง    ข้อ         มนุษย์จะอายุยืนถึง  ๘๐,๐๐๐   ปี  จะมีพระเจ้าจักรพรรดิอุบัติขึ้นในโลก  และพระศรีอาริยะเมตไตร  จะจุติในตระกูลพราหมณ์  มีอายุ  ๔๐,๐๐๐ ปี ซึ่งตระกูลพราหมณ์ในยุคสมัยนั้นสูงสุดและออกบวชแยกไปอยู่เพียงผู้เดียวและพิจารณา ปฏิจฺจสมุปบาท  จนบรรลุสัมมาสัมโพธิฌาณ ออกมาสั่งสอนชาวโลก  ให้เป็นอัศจรรย์     เรื่องของอนาคตเป็นเรื่องที่อธิบายยากเพราะยังไม่เกิด  บ้างก็ว่าเป็นคำทำนาย  บ้างก็ว่าไร้สาระ  บ้างก็คิดว่าเป็นมิติที่ ๓  ที่ ๔   แต่เรื่องอดีตมีบันทึกไว้มากมายและเหตุที่พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์อายุต่างกันไปตามลำดับ  นั้นเพราะเหตุแห่งศีล ๕พร่องดังกล่าว  ผู้คนเห็นผิดต่างๆ มีมาก  ไม่รู้เรื่องจริงๆ นั้นมีจำนวนมากและบางสิ่งบางอย่างก็เกียวพันกับกฎแห่งพุทธวงค์ ซึ่งเป็นกฎปฏิบัติของพุทธภูมิหรือโพธิสัตว์ที่มนุษย์ทั่วไปเรียกขาน       พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นอาจินไตร  เพราะมีเพียงผู้ปรารถนาพุทธภูมิเท่านั้นที่เข้าใจ  ไม่สมควรคิด  ให้มองสิ่งต่งๆ เหล่านี้เพื่อผลของการปฏบัติมากกว่ามองในด้านเกิดปัญญาทั่วๆ ไปว่า การรักษาศีล ให้ทาน และเจริญภาวนา  ทำให้พ้นทุกข์ปัจจุบันต่างหากเป็นสิ่งจำเป็น  อดีตสอนว่าจะไม่ทำผิดซ้ำ     อนาคตสอนว่ายังมีอยู่ควรปฏิบัติ     และปัจจุบันสอนว่า  พระพุทธองค์ของเราเพรียบพร้อมทุกอย่างแล้ว     จะแสวงหาสิ่งใดอีก       ทางเส้นนี้ยังมีผู้ปฏิบัติอยู่มากมาย  มีทางเลือกให้เดินตามใจ  ปรารถนาแสวงหาตามที่ต่างๆ ก็ไม่พบหรอก  จะไปกราบไหว้ต้นไม้  หิน  ดิน  หรืออ้อนวอนขอให้พบเจอ  ลองหยุดแสวงหาสิ  และมองเข้าไปในจิตใจของตัวเอง  และจะรู้ความจริงหลายว่า  พระพุทธองค์อยู่ที่ใจของเราทุกๆ คน  ดังที่พระพุทธองตรัสว่า “ ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา...ตถาคต ” คำสอนของพระพุทธองค์ทุกๆ พระองค์  เหมือนกัน คือ ละชั่วทั้งปวง  ทำความดีให้ถึงพร้อม การเลือกเกิดนั้น  หากมนุษย์ผู้ใดปฏิบัติจะไม่เกิดในกลียุค  เพราะเหตุที่รักษาศีล  ให้ทานและเจริญภาวนา การเลือเกิดในศาสนาของพรพะศรีอาริยะเมตไตรนั้น ไม่ได้ยากอย่างที่คิด   และเข้าใจผิดไปต่างๆ นาๆ  ให้ยืนอยู่บนพื้นดิน ไม่ใช่อยู่บนฟ้าที่จับต้องไม่ได้ หากทุกๆ คนเลือกเกิดได้ตามใจจะมีใครในโลก อยากเกิดมาทุกข์  ยากจน  พิการ  ทรมานด้วยเหตุต่างๆ มากมาย  อาจจะเป็นคำถามที่คนทั้งโลกถาม  แต่จะมีผู้ใดตอบได้และเข้าใจถึงแก่นแท้  ผมตอบทุกอย่างให้แล้ว  มีความหมายอยู่ในตัวเอง  แค่เพียงเลือกและปฏิบัติ หลังจากนั้นถามตัวเองว่า ตอนนี้ตัวเราอยู่ที่ไหน  ก็ตอบตัวเองได้ วัดตัวเองได้     ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้แล้วการเลือกไปเกิดในศาสนาพระศรีอาริยะเมตไตรนั้น  แท้จริงแล้ว    เพียงปรับโครงสร้างของระบบใหม่    คือ รักษาศีลก่อน  แล้วให้ทานและเจริญภาวนา  โครงสร้างโดยรวม  คือ
   ๑.  เว้นจากการฆ่าสัตว์ และให้ทานแก้สัตว์ทั้งหลายตามลำดับ
   ๒.  เว้นขาดจากลักทรัพย์และบริจาคทรัพย์เพื่อผู้อื่น
   ๓.  เว้นจากการประพฤติผิดในกาม และ มั่นคง มีสัจจะ
   ๔.  เว้นขาดจากพูดโกหก  หลอกลวง  ส่อเสียด คำหยาบเพ้อเจ้อ  พยาบาท พูดจาไพเราะอ่อนหวาน
   ๕.  เว้นขาดจากสิ่งเสพติดให้โทษ  และฟังธรรมพิจารณาธรรมอยู่เสมอ 
       แค่องค์ประกอบเพียง    อย่างนี้เท่านั้น   หากมนุษย์ผู้ใดกระทำได้  จะเว้นขาดจากกลียุค  ไม่ไปเกิดในทุกดินแดนที่มีกลียุค  ทำได้มากหรือน้อยตามกำลังของบุคคลแตกต่างกันไป  เมื่อตายจากโลกนี้ไปยืนยันได้แน่นอนว่าจะไม่ตกนรก  ขึ้นสวรรค์แน่นอน  เกิดใหม่จะไปเกิดในดินแดนแห่งพระศรีอาริยะเมตไตร     จะขึ้นสวรรค์และข้ามพ้นดินแดนแห่งกลียุค   สุขสบายทุกๆ ภพชาติที่เกิด  จะไม่เกิดมาพิการ ขี้เหร่ จน   อดอยากการเบียดเบียนกันทางกาย  วาจาและใจจะไม่มีและสิ่งนี้เป็นสัจธรรมแห่งโลก ทุกยุคทุกสมัยและทุกศาสนา ไม่มีผู้ใดกล้าค้าน  ไม่ว่า มาร  เทพเจ้า หรือโพธิสัตว์เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง     ความทุกข์ในโลก หากปล่อยตัวไม่ยับยั้งไว้  ก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำเรื่อยๆ และเฝ้าถามว่า     ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้และไม่มีมนุษย์ผู้ใดเชื่อตามพระพุทธองค์ คือ  สัมมาทิฐิแล้วตกนรก  มีแต่พ้นทุกข์     และผู้ประกาศพระสัจธรรมนี้ เกิดยากยิ่งและเกิด   องค์ไม่ได้ จึงเป็นหนึ่งเดียวในโลก  แต่เพราะบำเพ็ญบารมีแตกต่างกันไป  แต่ละความหมายเหมือนกันหมด  ไม่ว่าผู้ใดหรือโพธิสัตว์องค์ใด            ที่มนุษย์ผู้บำเพ็ญบารมี  เรียกว่า      พุทธภูมิ       คือ                      ......ช่วยหมู่สัตว์ให้พ้นทุกข์.....