ทางเลือก

ทางเลือก
       ๓๑  ภูมิ  ของหมู่สัตว์ที่เวียนเกิดเวียนตาย  ( สังสารวัฏ )
        หมู่สัตว์ทั้งหลายที่เวียนเกิดเวียนตาย สูงบ้าง ต่ำบ้าง อยู่ในขอบเขตแห่ง  ๓๑  ภูมิ
  ภพของมนุษย์เป็นภพกลาง     เลือกที่จะไปแดนใดก็ได้แต่ต้องปฏิบัติตัวให้เหมาะสมกับภูมินั้นๆ    หรือสภาวะนั้นๆ จึงจะไปอยู่ร่วมกับผู้ที่อยู่ในสภาวะนั้น  แบ่งเป็นกฏเกณฑ์ทั้ง  ๓๑  กฏเกณฑ์   เปรียบเหมือนกฏตายตัว  ผู้ที่จะพ้นกฏเกณฑ์เหล่านี้มีเพียงพระโสดาบันขึ้นไป กรรมเป็นตัวเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าสู่สภาวะ
นั้นๆ  แบ่งเป็น  ๓๑  ภูมิ  ได้แก่
อบายภูมิ      
๑.      เปรต       ๒. อสุรกาย   ๓.  สัตว์นรก   ๔.  สัตว์เดรัจฉาน
มนุษย์      เป็นภพกลางเชื่อมต่อโลกทั้งหลาย
สวรรค์ 
    ๑. จตุมหาราชิกา   ๒.  ดาวดึง    ๓.  ยามา  ๔.  ดุสิตา   ๕.  นิมมานะระติ   ๖.  ปะรานิมมิตตะสะวัตตี
พรหม  ๒๐
     รูปพรหม  ๑๖   ไล่ตั้งแต่พรหมชั้นต้นจนถึงพรหมชั้นที่  ๑๖  แล้วแต่ความละเอียดของจิต
     อรูปพรหม     ๑.  อากาสานัญจายะตนะ    ๒.  วิญญาณนัญจายะตนะ      ๓.   อากิจจัญญายะตนะ
                        ๔.  เนวะสัญญานาสัญญายะตนะ
     ภพภูมิเหล่านี้เปรียบเสมือนกฏเหล็ก  กฏตายตัว  จะรู้หรือไม่รู้ก็พ้นไปไม่ได้   จะเชื่อหรือไม่ก็พ้นไปไม่ได้จะยอมรับหรือไม่ยอมรับก็พ้นไปไม่ได้  เปรียบเสมือนธรรมชาติที่มีอยู่ยังไงก็มีอยู่อย่างนั้น     แต่เป็นเพราะพระพุทธองค์ตรัสรู้  คือ  รอบรู้ทุกกฏเกณฑ์  รู้กรรมซึ่งจำแนกแจกแจงสัตว์ต่างๆ ไปในภพภูมิเหล่านี้    ๓๑ กฎนี้ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง  เป็นทางเลือกเรียกว่า     ภพ  ก็ได้
กามภพ      ประกอบด้วย    อบายภูมิ     มนุษย์     สวรรค์                                                               
รูปภพ      คือ  พรหมที่อาศัยรูปในการฝึกสมาธิ  ตั้งแต่ปฐมฌานจนถึงจตุตคะฌาณ  มี   ๑๖ ขั้น
อรูปภพ    คือ พรหมที่ไม่อาศัยรูปในการฝึกสมาธิ ทั้ง    อย่าง      แล้วแต่ความละเอียดของจิต
    นี่คือทางเลือกทั้งหมดที่มีในโลก  ไม่ว่าจะปฏิบัติแบบใดก็ไม่พ้นไปจากกฏเหล่านี้     กรรมเป็นตัวเชื่อมสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกันเปรียบต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขาไปในทิศทางต่างๆ กรรม คือ  ยางไม้ เชื่อมสภาวะทั้งหลายให้ประกอบกันขึ้น  ภูมิหนึ่งๆ มีสภาวะต่างๆ เหมาะสมกับการกระทำของมนุษย์ในโลกแต่ละแบบ   สิ่งต่างๆเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้ตลอดไม่ว่าจะปฏิบัติจิตแบบใดหรือค้นหาแบบใด
   หากพระพุทธเจ้าไม่ถือกำเนิดขึ้นจะอยู่ภายใต้กฏเหล่านี้  พุทธองค์เกิดขึ้นโสดาบันจึงเกิดขึ้น  ทางที่จะพ้นไปในกฏเหล่านี้จึงเกิดขึ้นและสั่งสอนให้มนุษย์เข้าถึงสภาวะต่างๆ ที่เป็นไป     ที่มนุษย์คิดว่าตัวเองเลือกเกิดไม่ได้นั้น     ก็เพราะไม่รู้โครงสร้างเหล่านี้ มนุษย์ไม่สามารถเปลี่ยนโครงสร้างได้    เพียงแต่ปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบเท่านั้น  ถ้าไม่รู้หรือไม่เลือกก็จะใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ    ปิดหูปิดตาเดินโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้มีอยู่จะค้านยังไงก็ไม่เป็นผล ทุกสิ่งเป็นกฏหรือสภาวะที่มีรูปแบบ มีความชัดเจนในตัวเอง คือ อบายภูมิ ๔ นั้นมีภพของสัตว์เดรัจฉาน อยู่ด้วย  สภาวะของสัตว์เดรัจฉานนั้น ไม่ต้องใช้อะไรมองใช้ตาเนื้อก็มองเห็น คือ สภาวะของการเบียดเบียนกัน   เสพกามโดยไม่ละอาย ถ้ามนุษย์ทำตัวไม่มีความละอาย เสพกามโดยไม่ละอายผิด
ศีลข้อกาเมฯ ผลของกรรมนั้นจะดึงไปสู่ภพนั้นนั่นเอง   มีตัวอย่างหนึ่ง
   ในครั้งสมัยพุทธกาลมีบุคคลที่ทำตัวเหมือนสุนัขและโค  ใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขและโค คือ สุนัขขัตตะและโคนันทะ ดำรงตนใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้เรื่อยมา   เมื่อเจอกับพระพุทธองค์ก็ถามพระพุทธองค์ว่าตัวเองจะไปเกิดในภพใด  พุทธองค์ก็ตอบว่า เลือกแล้วไม่ใช่หรือแล้วจะถามทำไม     สุนัขขัตตะและโคนันทะถึงกับน้ำตาร่วง  เห็นความทรมานแห่งสัตว์เดรัจฉานเพราะฟังธรรมจากพระพุทธองค์     สุดท้ายเปลี่ยนความตั้งใจออกบวช
บรรลุมรรคผลเป็นพระอรหันต์
   ภพภูมิต่างๆ ล้วนมีความเชื่อมโยงเป็นห่วงโซ่ ทั้ง  ๓๑  ภูมิ   แค่เปลี่ยนรูปไปตามสภาวะต่างๆ  ซึ่งผู้สร้างสิ่งต่างๆ คือ มนุษย์  แต่ละสภาวะก็มีเวลาคือกำลัง  เช่น ทำบุญหรือบาปมาเท่าไหร่อยู่ได้นานแค่ไหน  เมื่อหมดบุญหรือบาปก็จะเปลี่ยนแปลงไปไม่คงที่   ครั้งหนึ่งมีผู้คิดผิดว่าตัวเองคงที่เพราะเกิดมานาน    เห็นทุกอย่างเปลี่ยนแปลง  แต่ตัวเองไม่เปลี่ยนคิดว่าที่ตัวเองอยู่เป็นแดนนิพพาน มีตัวอย่างเรื่องหนึ่งจาก คำภีร์พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก    เรื่อง  ท้าวผกาพรหม
    ครั้งหนึ่ง  ท้าวผกาพรหมผู้มีความเห็นผิดคิดว่า    ตัวเองอยู่นั้นเป็นแดนนิพพาน เพราะไม่เปลี่ยนในขณะที่ผู้อื่นเปลี่ยน พระพุทธองค์เลยไปเทศโปรดความเห็นผิดนี้และตรัสว่าเรารู้แม้กระทั่งเธอฌาณเสื่อมจากอรูปฌาณชั้นเนวะสัญญาณาสัญยายตนะ สุดท้ายยอมนับถือพระพุทธองค์
     นั่นคือ  สภาวะทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง  แต่เวลาหรืออายุจะยาวนานมากจนนับไม่ได้ แต่ก็มีวันเปลี่ยนจริงๆ แล้วถ้ามนุษย์ไม่รู้ ทุกๆ สภาวะหรือโครงสร้างทุกๆ แบบทั้ง  ๓๑  ภูมิ   ก็ไม่สามารถเลือกที่จะไปเกิดได้ความหมายแห่งการเลือกเกิดไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้  อดีตอาจจะสร้างให้เป็นอะไรก็ได้      แต่เมื่อเป็นมนุษย์ย่อมมีทางแก้ไขเพราะไม่รู้ว่า ทุกสิ่งล้วนถูกสร้างขึ้นมาเป็นรูบแบบมีสภาวะแบบใด     ระเบียบแบบแผนเป็นยังไง  ปล่อยตัวไปตามกระแสแห่งโลก  โลกจึงมืดมิด  ผู้พิการ  ทุกข์ทรมานต่างๆ ความจน สภาวะสังคม สิ่งแวดล้อม  การเลือกเกิดคือ การอธิบายระเบียบแบบแผนขององค์ประกอบในการไปจุติในภพต่างๆ  คือ   ไม่ต้องปิดบัง  บอกออกไปเลยว่าสร้างสภาวะแบบนี้ จะไปจุติในที่ใด คือมีสิ่งชี้วัด  ยกตัวอย่างเช่น  อบายภูมิ    คือ  ดินแดนแห่งการเบียดเบียน  ทำยังไงจะเข้าถึงซึ่งคงไม่มีใครอยากไปก็เว้นเสีย ไม่ต้องทำก็ไม่ต้องไปเกิดในดินแดนนั้นเอง มนุษย์    คือ ดินแดนมนุษย์  ทำยังไงจะเข้าถึง  และมีสภาวะเป็นยังไง  เกิดมา สวย หล่อ ร่ำรวยต้องทำยังไง  การให้ทาน  รักษาศีล  เจริญภาวนา  ส่งผลอะไรก็ทำเสีย      เพียงเท่านี้มนุษย์ก็เลือกได้ว่าต้องการอะไรจะไปเป็นอะไรหรือจะพ้นกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็ได้ คือ เข้าสู่กระแสนิพพาน  คือ   พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์อยากเกิดเป็นอะไร  ไปไหน อธิบายถึงวิธีการไปในที่ต่างๆ และมีคำยืนยันจากพระพุทธองค์ว่าสามารถไปได้  ผู้เขียนไม่ได้กล่าว    “ พระพุทธองค์ ”   เป็นผู้ตรัสเอาไว้แล้ว  ผู้เขียนแค่รู้ตามนั้นและอธิบายตามแบบแผนที่ถูกวางโครงสร้างไว้ เพียงแต่กาลเวลาผ่านไป ทุกอย่างผิดไป    ผู้คนคิดว่าพระศาสนาไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิต
ไม่ได้ข้องเกี่ยวข้องกับชีวิตแบบนี้  ความจริงเรื่องราวของพระพุทธศาสนา  คือ    เรื่องราวของมนุษย์ทั้งหมดพระไตรปิฎกมีไว้สอนมนุษย์  บอกทางมนุษย์  แก้ไขปัญหาของมนุษย์ทั้งหมด  นี่คือ     ทางเลือกของมนุษย์บนโลก     มนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ไม่ใช่สิ่งผิด  ความจริง  คือ  สิ่งที่ถูกต้องเพราะตราบใดที่มนุษย์ไม่รู้สิ่งนี้ไม่รู้กฏ  ไม่รู้โครงสร้าง  และไม่เลือก  ตราบนั้นมนุษย์จะเลือกเกิดไม่ได้  แต่เมื่อได้รู้แล้ว  เห็นแล้ว    อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว  ความมืดมิดในโลกจะถูกทำลายสิ้น  ผู้ที่เลือกเกิดได้ต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น  คือ   อบายภูมิ  มนุษย์      สวรรค์       รูปพรหม  ๑๖   อรูปพรหม      พระโสดาบัน  พระสกิทาคามี  พระอนาคามีและพระอรหันต์  ล้วนกำเนิดจากมนุษย์  สูงสุดก็มาจากมนุษย์  ต่ำสุดก็มาจากมนุษย์  มนุษย์เชื่อตามพุทธองค์ไม่ตกต่ำฉันใด  มนุษย์ผู้ไม่เชื่อตามพุทธองค์ก็ขึ้นสูงไม่ได้ฉันนั้น  แน่นอนว่าจะมีทั้งเชื่อหรือไม่เชื่อ  ผู้ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเลือกใช้ชีวิตอยู่ต่อบนโลกที่เลือกไม่ได้ต่อไป  ส่วนผู้มีปัญญามองเห็นความเป็นจริงแห่งโลก  เลือกแล้วจะพ้นความทุกข์ทรมานทั้งปวงบนโลกนี้หรือโลกหน้า  ผู้เขียนเพียงหวังว่าจะมีผู้เข้าใจ “  เลือก ”  และเปลี่ยนโลกที่มืดมิดด้วยความคิดที่ว่า      “ เราเลือกเกิดได้ ”      เลือกที่จะเป็นอะไรทั้งหมดอยู่ที่นี่     นี่คือ
“... ทางเลือก... ”