เลือกไปอบายภูมิ ๔

         เปรต    อสุรกาย   สัตว์นรก  สัตว์เดรัจฉาน
พระไตรปิฎก  พระสุตตันตปิฎฏ     เล่มที่  ๑๔          เรื่อง  กรรม
     พระพุทธองค์ตรัสว่า  บุคคลในโลกนี้ปรุงแต่ง  กายกรรม  วจีกรรม  มโนกรรม (กาย  คำพูด  ความคิด)ที่มีความเบียดเบียน ครั้นสำเร็จแล้ว  ย่อมเข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียน  สัตว์ทั้งหลายหลังจากตายแล้วจะไปเกิดในอบาย  ทุคติวินิบาต  นรก  เพราะความวิบัติแห่งศีลเป็นเหตุหรือเพราะวิบัติแห่งทิฐิ ( ความเห็นผิดเป็นเหตุ )
บุคคลประกอบด้วยธรรม    ประการ ย่อมอยู่ในนรกเหมือนถูกนำไปฝังไว้
  ๑.  กายกรรมที่มีโทษ
  ๒.  วจีกรรมที่มีโทษ
  ๓.  มโนกรรมที่มีโทษ
  ๔.  ทิฐิที่มีโทษ
ศีลข้อที่ 
   ตนเองเป็นผู้ฆ่าสัตว์  พอใจ  ชักชวน  กล่าวสรรเสริญการฆ่าสัตว์ บุคคลที่ เสพ เจริญ ทำให้มากแล้วย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก  สัตว์เดรัจฉาน  เปรต  อย่างเบาที่สุดเกิดเป็นมนุษย์ที่อายุน้อย
ศีลข้อที่ 
   ตนเองเป็นผู้ลักทรัพย์   พอใจ  ชักชวน  กล่าวสรรเสริญการลักทรัพย์   บุคคลที่ เสพ  เจริญ   ทำให้มากแล้ว  ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก  สัตว์เดรัจฉาน  เปรต  อย่างเบาที่สุดอำนวยผลให้เป็นผู้เสื่อม  โภค-ทรัพย์  แก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
ศีลข้อที่ 
   ตนเองเป็นผู้ประพฤติผิดในกาม  พอใจ  ชักชวน  กล่าวสรรเสริญการประพฤติผิดในกาม   บุคคลที่ เสพเจริญ  ทำให้มากแล้ว  ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดใน  นรก  สัตว์เดรัจฉาน  เปรต    อย่างเบาที่สุด อำนวยผลให้เป็นผู้มีมีศัตรูและมีเวร  แก่ผู้เกิดเป็นมนุษย์
ศีลข้อที่ 
    ตนเองเป็นผู้พูดเท็จ  พูดส่อเสียด  คำหยาบ  เพ้อเจ้อ  พอใจ  ชักชวน  กล่าวสรรเริญ  บุคคลที่เสพ เจริญทำให้มากแล้ว  ย่อมอำนวยผล  ให้ไปเกิดในนรก  สัตว์เดรัจฉาน  เปรต  อย่างเบาที่สุดถูกกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง  แตกจากมิตร   มีวาจาไม่น่าเชื่อถือ  ได้ฟังเรื่องไม่น่าพอใจแก่ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์
ศีลข้อที่ 
     ตนเองเป็นผู้ดื่มสุราเมรัยและสิ่งเสพติดต่างๆ พอใจ  ชักชวน  กล่าวสรรเสริญ  บุคคลที่เสพ  เจริญ  ทำให้มากแล้ว  ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก   สัตว์เดรัจฉาน  เปรต    อย่างเบาที่สุดเป็น  ผู้วิกลจริตแก่ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์    
  ทิฐิที่มีโทษ   คือ  ความเห็นผิด  เห็นว่าทำแล้วสู  กรรมดีเลวไม่มี  เกิดแล้วตายครั้งเดียวโลกอื่นไม่มีพอใจ  ชักชวน  กล่าวสรรเสริญ  บุคคที่เสพ  เจริญ  ทำให้มากแล้ว  ย่อมอำนวยผลให้ไปเกิดในนรก   สัตว์เดรัจฉาน  เปรต   
     อบายภูมิ    คือโลกที่มีความเบียดเบียน  ถูกทำร้ายทุบตี กระทบด้วยการเบียดเบียนตลอดเวลา การ  เบียดเบียน คือการผิดศีล    นั่นเอง  ผิดศีล    แต่ละข้อก็มีที่ไปแตกต่างกันไป  คือ    มีนรกขุมนั้น  ขุมนี้แบ่งไว้ตามความผิด     อายุหรือเวลาในการชดใช้ ขึ้นอยู่กับว่าทำกับใครมากหรือน้อย      ยกตัวอย่างเช่น การฆ่าสัตว์  มีผลน้อยกว่ามนุษย์  สัตว์ก็มีลำดับเช่น  ออกลูกเป็นไข่  ออกลูกเป็นตัว จนถึงสัตว์ขนาดใหญ่เช่น  ช้าง  มนุษย์ก็มีลำดับ เช่น  ฆ่ามนุษย์ทุศีล  มีผลน้อยกว่าการฆ่ามนุษย์มีศีล  ฆ่ามนุษย์มีศีลน้อยกว่าพระโสดาบัน  จนถึงพระอรหันต์และทำร้ายพุทธองค์จนห้อพระโลหิต  คือ  พระเทวทัต   กรรมที่ให้ผลทันทีและยาวนานคือ อนันตริยะกรรม คือ กรรมที่นับไม่ได้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด   กรรมที่ปิดสวรรค์นิพพานทั้งหมด
มี      อย่างคือ
๑.      ฆ่าพ่อแม่
๒.      ฆ่าพระอรหันต์
๓.      ยุยงให้พระสงฆ์แตกแยก
๔.      ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต
       กรรมเหล่านี้ให้ผลทันที ไม่ต้องรอ  ส่วนกรรมหนักอื่นๆ ที่ตามมาจะให้ผลในระยะที่เกิดหรืดลำดับต่อไปนี่คือ อายุของอบายภูมิ ๔ การฆ่าสัตว์  การลักทรัพย์ การประพฤติผิดในกามการพูดเท็จ ส่อเสียด คำหยาบเพ้อเจ้อ  การดื่มสุราเมรัยและสิ่งเสพติดต่างๆ รวมทั้งผู้พอใจ ชักชวน กล่าวสรรเสริญ  เหล่านี้เป็นผลพวงทั้งหมดของอบายภูมิ    ไม่ใช่เพียงแค่นี้หมดจากอบายภูมิ    ยังตามมาเมื่อเกิดเป็นมนุษย์  คือ  มนุษย์ทุกข์ทรมานด้านต่างๆ พิการ  เจ็บป่วย เป็นโรคร้าย  โดนเบียนเบียนด้วยเรื่องต่างๆ การเลือกมาอบายภูมิ  ๔ นั้นเป็นของง่ายๆ เพราะเป็นของง่ายนี่เอง สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน จึงมีมากกว่าเทียบกันไม่ได้กับมนุษย์     เหตุเพราะอะไร  “ พระพุทธองค์ตรัสว่า ”  จิตของมนุษย์เหมือนกระแสน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ     ในโลกนี้มีมืดกับสว่าง  พระพุทธศาสนาก็มีเพียง    ด้าน  คือ  สัมมาทิฐิและมิจฉาทิฐิ
๑.     มิจฉาทิฐิ  ( ความเห็นผิด )
เปรียบเหมือนความมืดไม่มีทางสูงขึ้นได้เลย  มิจฉาทิฐิความเห็นผิดคือ เห็นว่าทำแล้วสูญ กรรมดีเลวมีที่ไหน  เกิดมาชาติเดียวอยากทำอะไรก็ทำ  อยากชั่วก็ชั่วไร้ศีลธรรม คิดว่าการผิดศีลห้าเป็นเรื่องไร้สาระเวรกรรมไม่มีจริง บุคคลเหล่านี้แหละที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในอเวจีมหานรก  ขึ้นจากอเวจีเศษแห่งกรรมจะนำไปจุติเป็นสัตว์เดรัจฉาน  แม้ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็มีองค์ประกอบไม่ครบ  ๓๒  ประการ  หรือครบก็ถูกเบียดเบียนด้วยสิ่งต่างๆ ให้ทุกทรมานอยู่ร่ำไป

๒.    สัมมาทิฐิ  ( ความเห็นชอบ )
     เปรียบเหมือนแสงสว่าง  สัมมาทิฐิความเห็นชอบ  คือ  เห็นตามพระพุทธองค์ว่า   ทุกสิ่งเกิดจากเหตุเมื่อทำอะไรไปย่อมได้รับผลสิ่งนั้น เชื่อกฏแห่งกรรม กรรมดี กรรมชั่วที่ให้ผล  เชื่อผลแห่งการกระทำของตัวเอง
    อบายภูมิ    คือ คุกแห่งวิญญาณ เลือกลงไปแล้วมีแต่ตวามทุกข์ทรมาน คุกที่ว่าเลวร้ายที่สุดในโลกนั้นยังเทียบไม่ได้กับคุกแห่งวิญญาณแม้เพียงเศษเสี้ยว พระพุทธเจ้าเกิดมากี่องค์ก็ฟังธรรมไม่ได้   สร้างบุญกุศลไม่ได้ มืดมิดทรมานตราบจนสิ้นสุดบาปนั้น ผู้ที่มองเห็นว่าทุกข์แบบนี้  ทรมานแบบนี้ ก็เว้นเสียหากไม่ทำผิดก็ไม่ต้องรับโทษ แล้วจะเกิดในอบายภูมิ    ได้ยังไง รักษาศีลห้า   เบียดเบียนให้น้อยที่สุดหรือไม่เบียดเบียนเลย  จะเอาเสียงโหยหวน  ทุกข์ทรมานจากอบายภูมิ  ๔ มาบอกก็ไร้ผล เพราะมองไม่เห็น  มองไปรอบๆ ตัว   สภาพของสัตว์ต่างๆ ที่เบียดเบียนกัน  ที่ทุกข์ทรมาน   จะรู้คุณค่าของความเป็นมนุษย์หากทำตัวเหมาะสมกับสภาวะเหล่านี้  นี่คือ อนาคตของมนุษย์ที่เลือกมาอยู่ที่นี่
* ข้อคิด....จงพิจารณาตัวเอง  หากพิจารณาแล้วตอบตัวเองได้ว่า “  ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ของเรา ”  มนุษย์จะพ้นอบายภูมิ 

บทสรุป
      การเลือกมาอบายภูมิ    คือ การผิดศีล    ไม่มีความละอาย เกรงกลัวบาปกรรม  ความเห็นผิด  คือ
ผลพวงของที่นี่  โดยส่วนมากจะรู้หรือรับผลก็ต่อเมื่อตายและสายเสียแล้ว