เลือกพ้นภูมิ

       ทั้ง  ๓๑  กฎเกณฑ์เหล่านี้  ยังไม่พ้นการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเทวดาหมดบุญก็ต้องลงไปเกิด พรหมก็เช่นกัน แล้วแต่กรรมดีกรรมชั่วที่สั่งสมมา  แต่อายุของเทวดาและพรหมยาวนานมากโดยเฉพาะพรหมชั้นสูงยาวมากจนคิดว่า พรหมที่อยู่นี้เป็นแดนนิพพาน คิดว่าตัวเองไม่ต้องเวียนเกิดเวียนตายอีกแล้ว     ด้วยความเข้าใจผิดนี้  พระพุทธองค์ก็เลยไปปราบความเห็นผิด   ว่ายังอยู่ในกฎแห่งการเวียนเกิดเวียนตาย     ยังไม่ใช่นิพพาน   พระโสดาบันยังไม่ใช่เลย   ถ้าอยากพ้นภูมิต้องฝึกวิปัสสนากรรมฐาน “พระพุทธองค์ให้ไว้ ” 
๑๖   ขั้นตอน  ผู้สำเร็จจะเป็นพระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ 
      “ พระพทุธองค์ตรัสว่า ”   พระโสดาบันดีกว่าการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ  เพราะพระเจ้าจักรพรรดิลงนรกได้ แต่พระโสดาบันลงนรกไม่ได้  ปิดอบายภูมิ    ทั้งหมด     พระโสดาบันอย่างอ่อนเกิดอีกเพียง      ชาติเวียนไปเกิดเป็นมนุษย์  เทวดา  พรหม  แต่ไม่เกิน    ชาติ พระสกิทาคา    เกิดอีกเพียงชาติเดียว  คือ  ตายแล้วเกิดใหม่  จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในภพมนุษย์นั้นเลย ส่วนพระอนาคามีไม่ต้องมาเวียนเกิดในกามภพอีก  เพราะสิ้นกามแล้ว  แต่ต้องไปบำเพ็ญเพียรอยู่บนสวรรค์ชั้นพรหม  พระอรหันต์สมบูรณ์พร้อม  ไม่มีการเกิดอีกเลย
องค์ประกอบแห่งการพ้นภูมิแบบต่างๆ
๑. พระโสดาบัน
        จะรู้ได้ไงว่าปฏิบัติแล้วเป็นพระโสดาบันหรือเปล่า  พุทธองค์ให้กระจกไว้ส่องใจ เรียกว่า แว่นธรรม หรือ สังโยชน์  ๑๐  หมายถึง  กิเลสที่ผูกใจสัตว์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  ธรรมที่มัดใจสัตว์ให้ทุกข์ ๑๐ ประการ
   ๑. สักกายทิฐิ  (  ความเห็นผิด )
   ๒. วิกิจฉา        ( ความลังเลสงสัย )
   ๓.  สีลัพพตปรามาส  (  การหมิ่นแคลนศีล )
   ๔.  กามราคะ   (  ความกำหนัดในกาม )
    ๕.  พยาบาท    ( ความปองร้าย )
    ๖.  รูปราคะ  (  ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาณ )
    ๗.  อรูปฌาณ  (  ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาณ  )
    ๘.  มานะ   (  ความถือตัว  )
    ๙.  อุทธัจจะ  (  คาวมฟุ้งซ่านรำคาญใจ  )
     ๑๐.  อวิชชา   (  ความไม่รู้จริง  )
     เมื่อองค์คุณแห่งพระโสดาบันเกิดขึ้นในสามส่วนนี้  คือ
 ๑.สักกายทิฐิ   ๒.วิกิจฉา  (  ความลังเลสงสัย  )  ๓.สีลัพพตปรามาสเกิดขึ้น  สิ่งที่จะดับไปพร้อมกันอีก คือ  ๑.พยาบาท  ๒.มานะ  ๓.อวิชชา  ๔.รวมแล้วสังโยชน์  ๑๐  ประการนี้   เหลืออีกเพียง    อย่าง  เท่านั้น  คือ  ๑.กามราคะ   ๒.อุจธัจจะ  ๓.รูปราคะ  ๔.อรูปราคะ
 องค์คุณแห่งพระโสดาบัน   คือ
สักกายทิฐิ    เป็นองค์คุณแรกแห่งโสดาบัน  คือ  การยึดมั่นถือมั่น อะไรคือการยึดมั่นถือมั่น  การยึดมั่น ถือมั่น คือ  การคิดว่ามีตัวตน  บุคคล  เรา  เขา  กายของเรา บ้านรถที่ดินต่างๆ เป็นของเรา    ซึ่งแท้จริงแล้วธรรมชาติทุกสรรสิ่ง  ล้วนไม่มีตัวตน  หากมีตัวตนทุกสิ่งย่อมคงที่     แต่ไม่อาจคงที่ได้ คือ เมื่อมีเกิด ก็ต้องมีแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย  ผู้ใดหลงยึดว่า สิ่งเหล่านี้เป็นของเรา ต้องทุกข์  ความเห็นผิดต่างๆ ด้วย  ความคิดที่ว่าตายแล้วสูญโลกอื่นไม่มี  กรรมดีเลวไม่มี เกิดมาชาติเดียว  กรรมดีชั่วไม่ส่งผลอะไร สิ่งเหล่านี้เรียกรวมๆ ว่า สักกายทิฐิ     ความเห็นผิด เมื่อความเห็นผิดดับไป สัมมาทิฐฐิ ความเห็นชอบก็เกิดขึ้น ซึ่งก็คือ   องค์คุณแรกในอริยะมรรคมีองค์    ได้เกิดขึ้น  ทุกสิ่งจะตามมาเป็นทอดๆ   คือ เมื่อสัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ ) เกิดขึ้น  สัมมาสังกัปปะ ( ดำริชอบ )    คือ      ความตั้งใจงดเว้นความชั่วทั้งปวงทำแต่ความดี ก็เกิดขึ้น  สัมมาวาจา ( เจรจาชอบ ) ก็เกิดขึ้น  คือพูดจาไพเราะอ่อนหวาน  ไม่ดุด่าใคร ใจเย็น   สัมมากัมมันตะ ( กระทำชอบ )  คือการใช้ชีวิตกกระทำแต่สิ่งดีๆ    สัมมาอาชีวะ ( เลี้ยงชีพชอบ ) คือการประกอบอาชีพที่ไม่เบียดเบียนใคร   สัมมาวายามะ ( พยายามชอบ ) พยายามทำแต่ความดี  สัมมาสติ มีสติอยู่กับตัว   ไม่หลงทำความชั่วและสัมมาสมาธิ คือการฝึกสมาธิตามพระพุทธองค์ ด้วยเหตุแรกเหล่านี้ สักกายทิฐิดับไป คือ องค์คุณแรก
วิกิจฉา ความลังเลสงสัย  เมื่อสิ้นความลังเลสงสัย    ก็ตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า  พระธรรม   พระสงฆ์   พระโสดาบันไม่มีความลังเลสงสัย เชื่อโดยสนิทใจ ยอมตายมากกว่าทำผิด บุคคลที่เชื่อสูงสุดในโลกจะไม่กลัวตาย เพราะรู้เส้นทางที่ชัดเจนว่า  ถึงตายก็ปิดอบายภูมิ      แน่นอน     จึงยิ้มได้เมื่อความตายมาเยือนด้วยเหตุที่สองเหล่านี้  วิกิจฉาจึงดับไป  คือ  องค์คุณที่สอง
สีลัพพปรามาส       คือ    เชื่อในศีล    ไม่หมิ่นแคลนศีลทั้งหลายว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ   เชื่อในเหตุทั้งหลายล้วนมาจากการผิดศีล    เมื่อเชื่อแล้วก็ตั้งใจถือศีล    ให้บริสุทธิ์    เมื่อตั้งมั่นไม่หวั่นไหวแล้วปิดอบายภูมิ ๔   ทั้งหมด  เปรต  อสุรกาย สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน  จบสิ้น ปิดตาย ไปได้แต่มนุษย์ เทวดา   เกิดใหม่ก็เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  ถูกเบียดเบียนน้อยหรือไม่มีเลย  ด้วยเหตุที่สามเหล่านี้  สีลัพพปรามาสดับไป คือ องค์คุณที่สาม   
        เมื่อพิจารณาตัวเองให้กระจกนี้ส่องดูตัวเอง ก็จะมองเห็นตัวเองชัดขึ้น เมื่อองค์ประกอบทั้งสามส่วนสมบูรณ์  ก็มองเห็นแก่นแท้แห่งทุกสิ่ง พระโสดาบันก็เกิดขึ้น   ไม่ใช่พระที่ห่มผ้าเหลืองหรือพระที่ทุกคนเรียกขาน  แต่เป็นพระในใจ  หรือพระโสดาบัน      ไม่ต้องไปแสวงหาพระตามสถานที่ต่างๆ กราบไหว้     ก้อนหินต้นไม้  ภูเขา  หรือวัตถุต่างๆ จิตดวงรู้จะเกิดขึ้นมา  มองเห็นธรรมที่แท้จริง ซึ่งอยู่ในตัวเอง    ไม่ต้องบอกใครหรือประกาศให้ใครรู้  ก็เข้าใจทุกอย่างพุทธองค์ก็สถิตอยู่ที่ใจ ดังคำที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้  นั้นเห็นเรา ตถาคต นี่คือ พระโสดาบัน
๒.  พระสกิทาคามี
      คือ พระโสดาบันที่ปฏิบัติธรรมเพิ่ม คือ ราคะ  โทสะ  โมหะ เบาบางลงมากนั่นเอง เป็นอีกขั้นเรียกว่าสูงขึ้นไป พระสกิทาคา คือ พระโสดาบันที่รู้และต้องการ สลัดออก การสลัดออก คือ การปฏิบัติธรรมต่างๆเมื่อเริ่มสลัดออก ภพ  ชาติ  ก็สั้นลงจาก ๗  ชาติ เหลือเพียงชาติดียว
๓.  พระอนาคามี
      คือ ปฏิบัติธรรมตัดเพิ่มอีก ๒  อย่างคือ   ๑.  กามราคะ  ๒.  อุจธัจจะ ( ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ) พระอนาคานี้จะไม่มาเกิดอีก      เพราะสิ้นกาม       อันเป็นเหตุให้เกิดในกามภพ แต่ต้องปฏิบัติธรรมเพิ่มในดินแดนนั้นอีก   จึงบรรลุได้เพราะเหลือเพียงสังโยชน์    สิ่ง คือ ความติดใจในรูปฌาณและอรูปฌาณเท่านั้น
๔.  พระอรหันต์
     ผู้บริสุทธิ์พร้อมทุกอย่าง  ไม่มาเกิดอีก  คือ ตัดสังโยชน์  ๑๐  ได้ทั้งหมด 
     ในการพ้นภูมินี้  พระโสดาบันจนถึงพระอนาคามี ยังคงเป็นฆราวาส  ยังไม่ต้องบวชก็ได้     นอกจากพระอรหันต์ซึ่งจะครองเพศฆราวาสไม่ได้    สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว หากไม่ออกบวชจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน   วัน  เพราะสังขารฆราวาส  รับไม่ไหว จะเป็นอันตรายกับมนุษย์ผู้ไม่รู้     ในสมัยพุทธกาลนั้น    พระโสดาบันมีมากมายนับไม่ถ้วน พระอานนท์ถามพระพุทธองค์ว่า พระโสดาบันมีประมาณเท่าใด  “พระพุทธองค์ตรัสว่า”  นับประมาณมิได้   ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า อกาลิโก   คือ ไม่จำกัดกาลเวลา    แต่ทำไมยุคนี้พระโสดาบันน้อย   เพราะเหตุแห่งความเข้าใจผิด  เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม  คิดว่ายาก   ต้องปฏิบัติยากลำบากเข้าป่าไปตามสำนักต่างๆ หรือปฏิบัติกับอาจารย์ดังๆ จึงจะสำเร็จได้   ในสมัยพุทธกาลนั้นมีมากมาย บางหมู่บ้านทั้งหมู่บ้าน   มีตั้งแต่ขอทาน  พราห์มกษัตริย์ ไม่เลือกชนชั้นเพราะอะไร  เพราะง่าย ใครก็เข้าใจได้  บางท่านอาจจะค้านว่า เพราะพระพุทธองค์อยู่จึงสำเร็จกันมาก  แต่ใช่ว่าจะเป็นพระโสดาบัน    เพราะพบพุทธองค์หรือได้ฟังธรรมจากพุทธองค์จึงสำเร็จได้  ผู้ที่เป็นพระโสดาบันสามารถต่อไฟให้ผู้อื่นรู้ตามได้  จะขอยกตัวอย่างหนึ่ง   ในพระไตรปิฎก  เรื่อง  ผู้สำเร็จโสดาบันเป็นคนใช้

         เรื่องมีอยู่ว่า สมัยพุทธกาลนั้น  มีคนใช้คนหนึ่ง เจ้านายให้ไปซื้ออะไร ก็ยักยอกเงินนั้นไว้ส่วนหนึ่ง แต่เมื่อเดินผ่าน  เห็นผู้คนฟังธรรมกับพระพุทธองค์อยู่ จึงเข้าไปฟังบ้าง  เมื่อฟังคิด  พิจารณา ดวงตาก็เห็นธรรม  สำเร็จโสดาบัน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เอาเงินที่ยักยอกมาคืนเจ้านาย ผู้เป็นนายก็สงสัยว่าทำไม ก็ตอบว่าได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์มา    นายก็อยากฟังบ้างจึงให้อธิบายให้ฟังและเพื่อนๆ ก็มาฟังด้วยและบอกว่า  จะยกเงินให้แล้วคนใช้ก็อธิบายธรรมนั้นให้ฟัง  ก็บรรลุโสดาบันทั้งนายและบ่าว    เพื่อนๆ เป็นโสดาบันทั้งหมด     มีตัวอย่างอีกมาก (  ศึกษาเพิ่มเติมได้จากพระสุตันตปิฎก ) แต่ยกมาอธิบายเฉพาะส่วนให้เข้าใจง่าย    เพราะง่ายจึงเข้าใจได้นั่นเอง
       พระพุทธองค์เปรียบให้มองเห็นชัดในโลกดังนี้ คือ    พระโสดาบันแค่ฟ้าแลบในความมืด   สกิทาคาแค่แสงดาว  อนาคาคือ พระจันทร์  พระอรหันต์เปรียบดังพระอาทิตย์  เปรียบดังนี้จะเข้าใจง่าย   แค่ฟ้าแลบในความมืด  ก็เพียงพอให้ไม่หลงทางแล้วไม่ใช่หรือ   เพียงเท่านี้ก็เดินถูกทางแล้ว   ไม่เดินทางในความมืดแล้วตรงไหนหลุมบ่อก็ไม่หลงไป  
     เมื่ออ่านและพิจารณาตามถึงตรงนี้  ตรงที่เลือกพ้นภูมินี้  จะเข้าใจได้ง่ายว่าตรงไหนหลุมบ่อ  จะส่งผลยังไง  ทั้ง ๓๑ ภูมิ คืออะไร  ก็เข้าใจได้ทันที   เพราะคือหัวใจพระไตรปิฎก หรือคือองค์ความรู้ของโสดาบันที่แท้จริง   หากมนุษย์พิจารณาตามจะเป็นเหมือนฟ้าแลบในความมืดให้ไม่หลงทางเพียงแค่นี้ก็เดินถูกแล้ว  แค่รู้เท่านั้น  รู้อะไร  รู้ว่าศีล    เป็นปัญหาทั้งหมด  เป็นทุกข์ในโลก  ก็รักษาศีล  รู้ว่าการยึดติดสิ่งใดเป็นทุกข์  ก็ปล่อยวาง  ไม่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตน  เมื่อ  มี    อย่าง เกิดขึ้น    ก็เชื่อมั่นไม่หวั่นไหวในพุทธธองค์   พระธรรม  พระสงฆ์ เห็นชอบตามพระพุทธองค์      คือ สัมมาทิฐินั่นเอง   แล้วพระโสดาบันจะไปไหน  ก็อยู่ที่นี่  พระสกิทาค่อยปฏิบัติธรรมเพิ่ม  คือ   นั่งสมาธิ    เจริญภาวนา    เพื่อสลัดออกให้ราคะ  โทสะ  โมหะ เบาบางลงจนถึงตัดกาม คือ  พระอนาคามี  และมีปัญญายิ่ง  คือ  พระอรหันต์
       นี่คือแนวทาง คือ ต้องรู้ทางเดินก่อนจึงจะถูกต้อง  การปฏิบัติธรรมต้องเป็นขั้นตอน  ต้องรู้ก่อน   ถ้าไม่รู้เหตุจะเข้าใจผลได้ยังไง  ถ้าไม่รู้เส้นทางแล้ว เดินยังไงก็หลง   นี่คือ แผนที่แห่งการปฏิบัติและจุดหมาย  ต้องบอกทางก่อน จะไปได้แค่ไหนก็แล้วแต่กำลังของบุคคลนั้น    นับวันแผนที่บอกทางเหล่านี้เริ่มถูกลบเลือนไป ผู้รู้แผนที่เหล่านี้ก็นับจำนวนได้  เปรียบวัวตัวหนึ่งมีขนมากมายมีเขาเพียง    เขา  พุทธบุตรที่แท้จริง คือผู้ที่ตั้งใจศึกษาแผนที่บอกทางต่างๆ ให้เข้าใจถึงแก่นเนื้อแท้ที่สมบูรณ์ บอกทางออกแก่มนุษย์ เทวดา พรหม สัตว์นรก สัตว์เดรัจฉาน  รอบรู้ทุกๆ องค์ประกอบก็น้อยเต็มที  ความเข้าใจผิดของมนุษย์ไม่มีใครแก้ไขให้ถูกต้องที่มีบ้างก็ผิดบ้างถูกบ้าง   การจะเกิดปัญญาได้ต้อง  ฟัง  อ่าน  ค้นคิด  พิจารณาโดยแยบคาย
   พระพุทธองค์ตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลายมีปัจจัย     ประการที่ทำให้เกิดสัมมาทิฐิ ปัจจัย    ประการนั้น   คือ
๑.  ปรโตโคสะ คือฟังจากผู้อื่น
๒.  โยนิโสมนสิการ  คือ  พิจารณาโดยแยบคาย
     พุทธองค์ตรัสว่า  สัมมาทิฐิ หรือความเห็นชอบนี้  เปรียบได้ดังแม่น้ำทุกสาย  ไหลลงสู่ทะเลอันไกล   ผู้มีความเห็นชอบนี้  ย่อมไม่มีความตกต่ำ  ไหลลงสู่ทะเลฉันนั้น  อันว่ามหาสมุทรที่รับเอาแม่น้ำทุกสายในโลก  ไม่เสื่อมความเค็มฉันใด    แดนนิพพานไม่มีวันเต็มฉันนั้น  ทะเลนั้นมีความอัศจรรย์หลายประการฉันใด  แดนนิพพานก็เป็นเช่นนั้น   ทะเลนั้นจะไม่อยู่ร่วมกับซากศพ  จะซัดสิ่งที่ตายมาเกยตื้นฉันใด  ผู้มีอริยะย่อมไม่อยู่ร่วมกับความเน่าเหม็นฉันนั้น   ทะเลนั้นมีปลาน้อยใหญ่  มากมายมีเสรี  และเป็นที่อัศจรรย์ของโลกฉันใด พระศาสนานี้ก็มีความอัศจรรย์ของผู้ปฏิบัติมากมายตั้งแต่ธรรมเบื้องต้น    เบื้องกลาง  และเบื้องสูง   คือ   พระโสดาบัน พระสกิทาคา     พระอนาคา  และพระอรหันต์  เปรียบเหมือนปลาน้อยใหญ่  ที่แหวกว่ายในทะเลฉันนั้น
      พระพุทธองค์เปรียบพุทธบุตรเหล่านี้  คือ  พระโสดาบันมีศีลเป็นใหญ่ คือ   อธิศีล  พระอนาคามีจิตเป็นใหญ่ คือ อธิจิต พระอรหันต์มีปัญญาเป็นใหญ่ คือ อธิปัญญา  เปรียบเทียบให้เข้าใจดังนี้แล้วยังพอมองเห็นทางออก  ไม่ยากเกินไปสำหรับมนุษย์  พระโสดาบันแค่รักษาศีลเท่านั้น  ไม่ได้มากไปกว่านี้เลย แค่รู้ทางเดินจะเดินต่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร  การอธิบายมาถึงตรงนี้  จะเห็นได้ชัดว่าไม่ขัดกัน  คือ โครงสร้างทุกอย่าง   สอดคล้องกันเป็นห่วงโซ่  สามารถประสานเข้ากับทุกองค์ความรู้ของมนุษย์ทุกคน   เพราะเป็นแก่นแท้แห่งทุกสิ่งบอกทางออกทั้งต้นเหตุและการแก้ไข  ขอให้พิจารณาให้มากด้วยตัวเองว่าจริงไหม  หากตอบว่าจริง    นี่คือ ฟ้าแลบแล้ว  เห็นแล้ว  สัมมาทิฐิได้เกิดขึ้นแล้ว  อาการต่างๆ จะปรากฏขึ้น  จะไม่เสื่อมถอย รู้แล้วคือรู้ เห็นแล้วคือเห็น  เหมือนกับหงายของที่คว่ำอยู่    เปรียบกับทางเดินในความมืดไม่รู้เส้นทาง   ขึ้นสูงบ้าง  ต่ำบ้าง ตกหลุมบ่อบ้าง หลุมบ่อบางหลุมลึกจนหาทางออกไม่เจอ  ทุกข์ทรมานไม่รู้จบ  ก็ได้รู้ทั้งหมด ฟ้าแลบเปรี้ยงเดียวก็มองเห็นทางออก    หลุมบ่ออยู่ตรงไหน   ก็เดินถูกทาง        สมบัติที่มีคุณค่ามากกว่าการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์  คือปัญญานี้ต่อให้แลกด้วยชีวิต  หรือสมบัติใดๆ ในโลก ก็เทียบกันไม่ได้เลย    นี่คือความหมายที่
แท้จริงแห่งการเลือกพ้นภูมิ  มีคำถามหนึ่งถามมาว่า หากเป็นพระโสดาบันขึ้นไป    จะไปอยู่ไหน มีความเข้าใจผิดต่างๆ มาก    จะขออธิบายเพิ่มว่า แล้วแต่กำลังของการปฏิบัติ  หรือการให้ทานของแต่ละท่าน คือ ไปอยู่ร่วมกับเทวดาทั้ง ๖ ชั้นแล้วแต่กำลังแห่งบุญมากหรือน้อย  จะเป็นผู้อยู่เหนือเทวดาอื่นๆ อันผู้อื่นจะครอบงำไม่ได้  หากฝึกจิตมาจะไปจุติเป็นพรหม  พระอนาคามีจะเป็นท้าวมหาพรหม  ส่วนหญิงที่เลือกเป็นพรหมไม่ได้       จะไปอยู่ร่วมกับเทวดาชั้นต่างๆ   อันผู้อื่นจะครอบงำไม่ได้ ( คือ อยู่เหนือเหล่าเทวดา ) มีผู้คนเห็นผิดต่างๆ มาก บ้างก็คิดว่าเทวดาไม่ต้องเกิด พรหมไม่ต้องเกิด     ทางเหล่านี้คือ  ทางพ้นทุกข์      พระโสดาบัน คือ เทวดา  หรือ พรหมคือ พระโสดาบันหรือว่าพระโสดาบันต้องเป็นพระห่มผ้าเหลืองเท่านั้น  พระโสดาบันต่างๆ ทรงอารมณ์ยังไง ทำยังไง   อยู่ด้วยอะไร ทำผิดกับพระโสดาบันมีผลมากไหม  หรือฝึกจิตมา       เห็นสิ่งต่างๆ รู้เห็นกรรม หรือสมาธิระดับต่างๆ คือ พระโสดาบันเที่ยวป่าวประกาศให้โลกรู้ผิดทั้งหมด  พระพุทธองค์ตรัสว่า พระโสดาบันแค่รู้ หรือฟ้าแลบในความมืด ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่าย คือ  นักกฎหมายที่ชาญฉลาด  ที่รู้กฎหมายจะไม่ทำผิดให้ติดคุกหรือหมอทางโภชนาการ ที่รู้ว่าอาหารต่างๆ ส่งผลกับร่างกายยังไงจะเลือกกิน
           วิสัยของมนุษย์ทั่วไป อย่าไปสงสัยวิสัยของพระอริยะเลย ปฏิบัติเองก็จะรู้เองเห็นเอง  นั่นแหละ พระโสดาบัน  หากถามว่าทำผิดกับพระโสดาบันผิดไหม     พระโสดาบันที่แท้จริงนั้น จะไม่เอ่ยปากบอกใคร    มีเพียงพระโสดาบันเท่านั้นที่เข้าใจ  เมื่อไม่รู้ย่อมไม่ผิด  แต่ก็เกิดผล  คือ หากด่าใครรุนแรงมากๆ แล้วเขาไม่มีอารมณ์โกรธ  ยิ้มๆ พึงสันนิษฐานไว้ก่อนว่าใช่เลย หรือชอบทำบุญอยู่ตลอดเวลา ถือศีลห้าบ้าง ศีลแปดบ้างในวันพระต่างๆ โดยไม่อวดตน  พึงอย่าไปเบียดเบียนท่านเหล่านั้นทั้งกาย วาจา ใจ เป็นดีที่สุด  ท่านเหล่านี้จะไม่อยู่ร่วมกับคนชั่ว  จะหนีห่างให้มากที่สุด  จะรังเกียจความชั่วทั้งปวง    เหมือนทะเลที่ซัดซากศพมาเกยตื้นฉันใด  อริยะชนย่อมรังเกียจความชั่วฉันนั้น
บทสรุป      
         การพ้นภูมิคือการเลือกแล้ว  ตั้งใจเลือก    ฟัง     อ่าน    ค้นคิดพิจารณาโดยแยบคาย  จากเหตุสู่ผลจนรู้เส้นทางปฏิบัติ และเลือกเดินตามเส้นทางนั้น  ถามตัวเองว่าต้องการอะไร     อยากอยู่ที่ไหน    พอใจแค่ไหน  ความรู้ คือ ปัญญา  ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก     เมื่อเดินอยู่ท่ามกลางความมืดมน        เคว้งคว้างหาทางออกไม่เจอ  ทำให้ทุกข์ทรมานสารพัด  แค่ฟ้าแลบก็เดินถูกทางแล้ว
ข้อคิด 
         ความคิดผิด  เห็นผิดนั้น  เป็นอันตรายร้ายแรง  เป็นเหตุแห่งทุกข์ในโลกนี้  แล้วก็โลกหน้า  เป็นเหมือนหลุมลึกที่ไว้ดักผู้หลงทาง   ความเห็นผิดเหล่านี้  คือ  ตายแล้วสูญ  โลกอื่นไม่มี  ทำอะไรไปไม่เกิดผล   บาปกรรมไม่มีจริง  เกิดมาชาติเดียวอยากทำอะไรก็ทำให้หมด  จะได้ไม่เสียชาติเกิด   ดูเถิดพิจารณาดูใครกันแน่ที่เสียชาติเกิด  เสียดายที่เกิดเป็นมนุษย์กลับไม่รู้คุณค่าของความเป็นมนุษย์  มองไปรอบตัวสิ   คุณยังดีกว่ามนุษย์มากมาย อ่านได้รู้สิ่งต่างๆ ก่อนสาย  มิจฉาทิฐิ    ความเห็นผิด ไม่มีทางสูงขึ้นได้เลย     และสัมมาทิฐิไม่มีทางตกต่ำ  พิจารณาตัวเองว่าอยู่ที่ไหนตอนนี้  กำลังทำอะไรอยู่   ก็มองเห็นตัวเองว่าอยู่ที่ใด     อดีตไม่สำคัญ  อนาคตก็ไม่สำคัญ ปัจจุบันคือสิ่งจำเป็น ทุกสิ่งแก้ไขได้เมื่อยังเป็นมนุษย์    ยังมีเสรี    ยังมีทางเลือกมากมายให้เลือก  มนุษย์เลือกเกิดได้ไหม  หากมนุษย์เลือกเกิดไม่ได้ แล้วอะไรเป็นแก่นสารในการดำรงชีวิต